ปูนใหญ่กำไรโค้งสุดท้ายปี 63 และกำไรทั้งปี 63 ไปได้สวย หลังกำไรโต 13% และ 7% ตามลำดับ ขณะที่โบรกเกอร์ประสานเสียง เชียร์ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 430-440 บาท ประเมินแนวโน้มไตรมาสแรกปีนี้ผลงานอยู่ในเกณฑ์ดี ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ส่วนทั้งปี 64 เติบโตแข็งแกร่งจากธุรกิจปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งสเปรดโอเลฟินส์ยังคงแข็งแกร่งต่อ บวกปริมาณขายเพิ่มขึ้น หลังไม่มีปิดซ่อมบำรุง และได้กำลังการผลิต MOC เข้ามาเพิ่ม 3.5 แสนตันต่อปี
กำไร Q4/63 กำไรโต 13% ส่วนทั้งปีโต 7%
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 และปี 2563 โดยผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 มีกำไร 8,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 หลังจากธุรกิจเคมิคอลส์ดีขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ขณะที่ปี 63 บริษัทมีกำไร 34,143.87 ล้านบาท หรือ 28.45 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 7% จากปี 62 ที่มีกำไร 32,014.28 ล้านบาท หรือ 26.68 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ กำไรปี 63 ที่เพิ่มขึ้นมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจแพกเกจจิ้งที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 23% ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์กำไรโต 18% เคมิเคิลส์โต 14%
หยวนต้าแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 440 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า สำหรับงบการเงินปี 2563 มีกำไรสุทธิ 3.4 หมื่นล้านบาท (+7% YoY) และกำไรปกติ 3.6 หมื่นล้านบาท (-4% YoY) นับว่าท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ยังสามารถรักษาผลการดำเนินงานในระดับดีไว้ได้ ซึ่งเป็นผลจากประสิทธิภาพการผลิต ต้นทุนการผลิตต่ำลง และการขยายตัวของธุรกิจบรรจุภัณฑ์
ส่วนแนวโน้ม 1Q64 ผลประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ดี ธุรกิจวัสดุก่อสร้างฟื้นตัวตามฤดูกาล โรงงานปิโตรเคมีผ่านช่วงปิดซ่อมบำรุงใหญ่ และไม่มีค่าใช้จ่ายการด้อยค่าสินทรัพย์ คงประมาณการปี 2564 ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท (+9% YoY)
มองข้ามไปปี 2564-2566 หุ้นยังมีหลายปัจจัยการเติบโตที่รออยู่ 1) การขยายกำลังผลิตปิโตรเคมีจาก 5 ล้านตันเป็น 8.3 ล้านตัน ภายใต้โครงการ MOC debottleneck 3.5 แสนตัน ช่วงกลางปี 2564 และ Longson 2.95 ล้านตัน ช่วงกลางปี 2566 2) การเติบโตอีกเท่าตัวของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ภายใน 5 ปี 3) การปรับแผนธุรกิจวัสดุก่อสร้างเน้นการค้าปลีก โซลูชั่น
ทั้งนี้ คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 440.00 บาท จาก 1) ราคาหุ้นที่ยัง Laggard และ Valuation อยู่ระดับน่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายบน PBV 1.5x นับว่ามีส่วนลดจากค่าเฉลี่ย 10 ปี -1.5SD 2) ผลการดำเนินงานปี 2563 พิสูจน์ความแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า 3) เป็นหุ้นใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของกระแสเงินทุนต่างชาติ 4) เงินปันผลอยู่ในระดับดี ราคาปัจจุบันมีผลตอบแทนเงินปันผลปี 2564 ที่ 3.7% โดยบริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H63 ที่ 8.50 บาท/หุ้น Yield 2.2% ขึ้น XD วันที่ 8 เม.ย. จ่ายเงินวันที่ 23 เม.ย. 2564
ทรีนีตี้คงเป้ากำไรปีนี้ ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท
ด้าน บล.ทรีนีตี้ แนะนำซื้อ SCC ให้ราคาเป้าหมาย 430 บาท คงประมาณการกำไรปี 64 ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท +15% YoY โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังอยู่ใน Up cycle จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในหลายประเทศโดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้ที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์เคมีมากเป็นอันดับ 1 ของโลก
นอกจากนี้ ธุรกิจอุตสาหกรรมยายนต์ในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน รวมถึงการกระตุ้นให้เกิด EV Car ที่เร็วขึ้นในสหรัฐฯ จะส่งผลให้เกิดการใช้ปิโตรเคมีเช่น PP มาขึ้น เห็นได้จากราคา PP ที่สูงกว่า USD1,200/ton
ดีบีเอสฯ ชี้ธุรกิจปีนี้ยังไปได้ดี ให้ราคาพื้นฐาน 438 บาท
ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำซื้อ SCC ให้ราคาพื้นฐาน 438 บาท ธุรกิจปี 64 ยังไปได้ดี โดยการเติบโตมาจากปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีวัคซีนโควิด-19 แล้ว แต่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยและอุปกรณ์การแพทย์ยังคงสูงในปี 64 ทำให้สเปรดโอเลฟินส์ยังคงแข็งแกร่งต่อ และปริมาณขายเพิ่มขึ้นด้วย จากไม่มีปิดซ่อมบำรุง และได้กำลังการผลิต MOC เข้ามาเพิ่ม 3.5 แสนตันต่อปีหลังขยายกำลังการผลิตคอขวด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในครึ่งหลังปี 64
ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีการขยายตัวดีตาม E-commerce และธุรกิจอาหาร รวมถึงการซื้อกิจการ โดยในปี 64 จะมีรายได้และกำไรจาก SOVI และ Go-Pak เข้ามาใน SCGP ด้านธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างยังฟื้นตัวช้า เราคาดยอดขายในส่วนนี้จะทรงตัว YoY ประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ขยายตัว +6%YoY เป็น 3.76 หมื่นล้านบาท