xs
xsm
sm
md
lg

SCC ตั้งเป้ายอดขายปี 64 โต 5-10% วางงบลงทุน 6.5-7.5 หมื่นล้าน เน้นปิโตรฯ ที่เวียดนาม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปูนซิเมนต์ไทยตั้งเป้ายอดขายโต 5-10% จากธุรกิจเคมิคอลส์ที่มีกำลังการผลิตเพิ่ม ธุรกิจแพกเกจจิ้งโตต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจวัสดุก่อสร้างคาดฟื้นตัวในครึ่งปีหลังนี้ พร้อมอัดงบลงทุนปี 64 วงเงิน 6.5-7.5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ก่อสร้างคืบหน้าแล้ว 70%

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 5-10% จากปีก่อน เนื่องจากโครงการมาบตาพุดโอเลฟินส์ส่วนขยายคอขวด (MOC Debottleneck) จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 นี้ ทำให้มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี ส่วนธุรกิจแพกเกจจิ้งได้มีการขยายการลงทุนเพิ่ม ส่วนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ คาดว่าจะฟื้นตัวดีในช่วงครึ่งหลังปีนี้จากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 6.5-7.5 หมื่นล้านบาท ใช้ลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วและอื่นๆ ส่วนใหญ่มากกว่า 50% ของงบลงทุนปีนี้ใช้ในโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม ซึ่งก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 70% คาดว่าใน 2 ปีข้างหน้าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ โครงการลงทุนในธุรกิจแพกเกจจิ้ง และธุรกิจวัสดุก่อสร้างและซีเมนต์

นอกจากนี้ ธุรกิจเคมิคอลส์ได้ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำและกลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ และความยืดหยุ่นให้แก่ธุรกิจ เช่น เร่งพัฒนาโซลูชันด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งการผลิตเม็ดพลาสติกจากขยะชุมชน (Post-consumer Recycled Resin) และโรงงานสาธิตกระบวนการรีไซเคิลทางเคมี (Chemical Recycling) ที่ได้ร่วมกับสตาร์ทอัพ มีกำลังผลิต 4 พันตัน/ปี โดยใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับโรงงานปิโตรเคมี คาดว่าจะมีความชัดเจนในการขยายการลงทุนเชิงพาณิชย์ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า หลังจากมีการทดสอบและการประเมินผลโครงการนำร่องนี้ บริษัทเชื่อมั่นเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์การจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน และสามารถนำ Renewable Feedstock ที่ได้มาเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นของธุรกิจได้

นายรุ่งโรจน์กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2563 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 399,939 ล้านบาท ลดลง 9% จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง และมีกำไรสำหรับปี 34,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยปี 2563 บริษัทมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) 126,115 ล้านบาท คิดเป็น 32% ของยอดขายรวม

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในปี 2563 ทั้งสิ้น 168,719 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วน 42% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปีก่อน

ผลการดำเนินงานในปี 2563 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้ ธุรกิจเคมิคอลส์ ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 146,870 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายสินค้าที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับปี 17,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน ผลจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 171,720 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน เนื่องจากผลของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย โดยมีกำไรสำหรับปี 6,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องและต้นทุนการผลิตที่ลดลง

ธุรกิจแพกเกจจิ้ง ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน เนื่องจากการที่บริษัทมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอนามัย การซื้อสินค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ รวมถึงปริมาณการขายสินค้าของบริษัทในกลุ่มดังกล่าวเติบโตขึ้นเช่นกัน

อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 14.0 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 16,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 5.5 บาท และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายอีกหุ้นละ 8.5 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 เมษายน 2564 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 8 เมษายน 2564 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2564)


กำลังโหลดความคิดเห็น