SCGP วางงบลงทุนปี 64 ที่ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน และโครงการขยายกำลังผลิตทั้งในและต่างประเทศ มั่นใจปีนี้ทุบสถิติรายได้จากการขายทะลุ 1 แสนล้านบาท จากปี 63 มีรายได้การขาย 9.27หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 6.45 พันล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 63 หุ้นละ 0.45 บาท
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท (รวมการควบรวมกิจการของ Go-Pak UK Limited แล้ว) เน้นลงทุนเพื่อขยายธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการขยายกำลังผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ทั้งในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ และโครงการขยายบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์ในประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในปีนี้
โดยการเข้าซื้อกิจการโครงการบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำในอาเซียนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและทำการตรวจสอบบัญชีธุรกิจ (Due diligence) หลายโครงการ ส่วนการลงทุนนอกภูมิภาคอาเซียนก็มีความเป็นไปได้ถ้าเป็นธุรกิจที่ดีสอดคล้องเมกะเทรนด์ และกลยุทธ์ของบริษัทฯ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รองรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในระดับภูมิภาคที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหากสถานการณ์ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้ความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเพื่อสุขภาพจะยังคงขยายตัวในปีนี้ และในระยะยาวคาดว่าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์จะได้รับปัจจัยบวกจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตสินค้ามายังภูมิภาคอาเซียน
ด้านผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะมีรายได้จากการขายรวมเกิน 1 แสนล้านบาท หรือโตขึ้นตัวเลข 2หลัก เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากการลงทุนถือหุ้นใหญ่ 94.11% ใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ในประเทศเวียดนาม และ Go-Pak รวม 5 พันล้านบาท ทำให้ปี 2564 เป็นปีที่บริษัทจะทำสถิติรายได้จากการขายสูงสุดต่อเนื่อง
ส่วนกรณีค่าเงินบาทแข็ง ทุก 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะกระทบกำไรบริษัทราว 100 ล้านบาท ซึ่งไม่สูงมากเมื่อเทียบขนาดธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน กำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืมตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 ) เท่ากับ 16,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 มีปัจจัยมาจากมีบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย การบริหารต้นทุน วัตถุดิบ และซัปพลายเชนที่มีการปรับพอร์ตการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การขยายฐานธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำและการควบรวมกิจการเพื่อขยายฐานธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมออกหุ้นกู้วงเงินรวม 5.5 พันล้านบาท อายุหุ้นกู้ 3.8 ปี เพื่อชำระคืนหนี้สถาบันการเงินที่ครบกำหนดในปีนี้
ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 2563 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนถือหุ้นใน SOVI ในประเทศเวียดนาม เพื่อการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำและเสริมความแข็งแกร่ง ด้วยการบูรณาการกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต้นน้ำของ SCGP ในประเทศเวียดนาม ทำให้ SCGP มีส่วนแบ่งการตลาดบรรจุอันดับ 1 ในเวียดนาม และล่าสุดลงทุนใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำ จะส่งผลให้ SCGP สามารถขยายตลาดใหม่ในสหราชอาณาจักร ยุโรปและอเมริกาเหนือ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
รวมทั้งมีการพัฒนา R-1 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ที่ผลิตจากฟิล์มประกบหลายชั้น ช่วยปกป้องสินค้าและทนทานแรงกระแทกได้ดี สามารถนำกลับมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกและวัสดุอื่นๆ ได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่ง SCGP ได้ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว (ประเทศไทย) และข้าวตราฉัตร พัฒนา R-1 เป็นถุงข้าวรักษ์โลกที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100%
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ เสนอการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2563 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งรอการอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2564