แม้ว่าจะแตกต่างกันในแง่ “สีผิว” แบบชนิด “ขาวจัด-ดำจัด” แต่ในแง่ “ที่มา-ที่ไป” แล้ว...ระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ หรือยุค “ผู้เฒ่าโจ” อย่าง “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Lloyd J. Austin) กับอดีตรัฐมนตรีกลาโหมคนเก่าของรัฐบาลยุคเก่า หรือยุค “ทรัมป์บ้า” อย่าง “นายมาร์ค เอสเปอร์” (Mark Esper) ที่ได้ถูก “ถีบ” ทิ้งเกือบวินาทีสุดท้าย ก็แทบไม่ได้มีอะไรผิดแผกแตกต่างไปจากกันและกันเอาเลยแม้แต่น้อย คือต่างก็เป็นผู้ที่บรรษัทผลิตอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างบริษัท “Raytheon” ส่งเข้ามาประกวดในรัฐบาลอเมริกันแต่ละรัฐบาลไปด้วยกันทั้งสิ้น!!!
ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลก ที่เมื่อช่วงวันเสาร์ (23 ม.ค.) ที่ผ่านมา บรรดา “ข่าวล่า-มาเรือ” ทั้งหลาย ต่างพร้อมใจรายงานข่าวไปในแนวเดียวกันว่า รัฐมนตรีกลาโหมผิวดำคนแรกของอเมริกาได้ยกหูต่อสายไปคุยกับรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น “นายโนบูโอะ คิชิ” (Nobuo Kishi) กันแบบถึงที่ ว่าประเทศ “เครื่องจักรสังหาร” อย่างอเมริกา พร้อมให้คำมั่นสัญญา คำยืนยันอย่างเป็นมั่น เป็นเหมาะ ในการร่วมปกป้องพื้นที่อธิปไตยของญี่ปุ่นในเกาะ “เซ็งกากุ” (Senkakus) หรือที่คุณพี่จีนเขาเรียกของเขาว่าเกาะ “เตียวหยู” (Diaoyu) ซึ่งยังคงเป็น “ปัญหา” ที่ทางออก ทางไป ยังไม่เจอสำหรับสองประเทศจนตราบเท่าทุกวันนี้ รวมทั้งการปกป้องความเป็นอิสระของไต้หวัน จากความพยายามข่มขู่ คุกคามใดๆ โดยมหาอำนาจคู่แข่งอย่างพญามังกร แบบชนิดถึงไหน-ก็ถึงกัน อะไรประมาณนั้น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...นับแต่นี้ คงไม่ต้องเสียเวลาแปลความตีความใดๆ อีกต่อไป ว่านโยบายความมั่นคงของรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ หรือยุค “ผู้เฒ่าโจ” กับนโยบายของรัฐบาลอเมริกันยุคเก่า หรือยุค “ทรัมป์บ้า” จะผิดแผกแตกต่างกันไปในแบบไหน หรือไม่ อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้ว...รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกันที่ต่างก็มีที่มา-ที่ไปจากบริษัทผลิตอาวุธอย่าง “Raytheon” ด้วยกันทั้งสิ้น ได้ออกมาให้คำตอบกันแบบชัดๆ จะจะ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งวิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าอีกต่อไป นั่นก็คือหลังจากที่คุณพี่จีนได้ตัดสินใจส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด “H-6K” จำนวนถึง 8 ลำด้วยกัน รวมทั้งเครื่องบินโจมตี “Su-35” อีก 4 ลำ ขึ้นไปบินป้วนเปี้ยนในเขตน่านฟ้าไต้หวัน ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่ต้องระบุตัวตน หรือ “Identification Zone” โดยไม่คิดจะบอกกล่าว หรือไม่คิดสนใจต่อบรรดา “เส้นสมมติ” เหล่านี้ อันเนื่องมาจากพื้นฐานนโยบายและความเชื่อถึงความเป็น “จีนเดียว” เมื่อช่วงวันเสาร์ (23 ม.ค.) ที่ผ่านมา หรือแม้หลังจากที่ทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น จะยกเลิกกำหนดการเดินทางไปเยือนไต้หวันอย่างเป็นทางการ ตามความพยายาม “วางระเบิดเวลา” ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คนเก่า “นายไมค์ ปอมเปโอ” ลงไปแล้วก็ตาม...
เพราะหลังการบินล่วงล้ำเข้าไปในเขตระบุตัวตนของไต้หวันโดยไม่ได้คิดจะบอกกล่าวของฝูงบินจีนคราวนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐมนตรีกลาโหมรายใหม่ ก็ได้ตัดสินใจส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Theodore Roosevelt” และกองเรือบริวาร กลับไปโผล่ในน่านน้ำทะเลจีนใต้ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (24 ม.ค.) ที่ผ่านมาแบบฉับพลัน-ทันที โดยไม่ได้คิดให้ความสนใจต่อการออกกฎหมายใหม่ล่าสุดของทางการจีน ที่อนุญาต อนุมัติให้บรรดาเรือยามฝั่งของจีน สามารถยิงถล่มใส่บรรดาผู้รุกรานรายใดก็ได้เท่าที่จำเป็น โดยไม่ต้องบอกกล่าวเอาไว้ก่อนล่วงหน้า แถมยังพร้อมยกหูโทรศัพท์ไปยืนยัน นั่งยัน กับรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น ในอันที่จะร่วมปกป้องอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่น รวมไปถึงไต้หวัน ในพื้นที่แถบทะเลจีนตะวันออกแบบถึงไหน-ถึงกันซะอีกต่างหาก...
อันนี้...ก็เลยถือเป็น “คำตอบ” แบบชนิดสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ว่ายังไงๆ...นโยบายต่างประเทศ นโยบายความมั่นคงของมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ต่อประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนนั้น คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าในยุคของ “ทรัมป์บ้า” หรือยุค “ผู้เฒ่าโจ” ที่เคยถูกกล่าวหา กล่าวขาน ถึงขั้นเรียกๆ กันว่า “China Joe” หรือ “โจเมืองจีน” ที่อาจต้องหันกลับมาใช้คำเรียกเดิมๆ ไม่ว่าจะ “โจซึมเซา” (Sleepy Joe) หรือ “โจวิตถาร” (Creepy Joe) ก็ตามแต่ นั่นก็คือการพร้อมที่จะกดดัน เล่นงาน หรือ “ปิดล้อม” ประเทศจีน ไม่ว่าตามแบบฉบับ “ปักหมุดเอาไว้ในเอเชีย” (Pivot to Asia) ที่เริ่มต้นขึ้นมาในยุครัฐบาล “โอบามา” หรือตามแบบฉบับ “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Strategy) ที่ถูกนำมาดัดแปลงกันในยุค “ทรัมป์บ้า” จนอาจทำให้กองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรในเอเชีย-แปซิฟิก อาจแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “Indo-pacific NATO” หรือ “Asian NATO” เอาเลยก็ไม่แน่...
ส่วนจะไปกล่าวโทษ กล่าวหา ต่อวิสัยทัศน์และปรีชาญาณของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ไม่ว่าคนเก่าหรือคนใหม่ ที่มีต่อประเทศจีนว่าถูกเรื่อง ไม่ถูกเรื่อง หรือไม่ อย่างไร คงไม่ถึงกับสอดคล้องต่อสภาพความเป็นจริงกันสักเท่าไหร่ เพราะถ้าหากต้องกล่าวหากล่าวโทษกันจริงๆ แล้ว คงต้องวิเคราะห์เจาะลึกไปถึง “บริษัทผลิตอาวุธ” อย่าง “Raytheon” ไปโน่นเลย ผู้ส่งรัฐมนตรีกลาโหมแต่ละรายเข้าประกวดในคณะรัฐบาลอเมริกันไม่ว่ายุคไหนต่อยุคไหน ไม่ว่ารีพับลิกันหรือเดโมแครต โดยต่างได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรายใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น ที่สามารถเติบโต ขยายตัวอย่างเป็นพิเศษ โดยเฉพาะท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วย “ความตึงเครียดทางทหาร” นั่นแหละเป็นหลักใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นช่วง “สงครามโลกครั้งที่ 2” ที่ทำให้บรรษัทแห่งนี้สร้างรายได้ ทำกำไร อย่างชนิดขี้แตก-ขี้แตน โดยเฉพาะการแสดงขีดความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นระบบป้องกันภัยทางอากาศ หรือระบบเรดาร์แบบ “Microwave Radar” จนทำให้โตกันแบบพรวดๆ พราดๆ สามารถกวาดซื้อบริษัทเล็ก บริษัทน้อย เข้ามาอยู่ในเครือข่ายได้เป็นกะตั๊กๆ หรือในช่วง “สงครามอ่าวฯ” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 เป็นต้นมา ที่จรวดนำวิถีแพทริออต (Patriot Missile) ของบรรษัท ถูกนำมาอวด มาโชว์ถึงศักยภาพและแสนยานุภาพ จนทำให้ใครต่อใครต้องหันไปสั่งซื้อ ชนิดออร์เดอร์ล้นมือไปในตลอดทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ และทำให้เกิดการควบรวมกิจการกับบริษัทเล็ก บริษัทน้อย ไปจนถึงระดับใหญ่โตมโหฬาร กลายมาเป็นบริษัท “Raytheon” จนตราบเท่าทุกวันนี้...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โดยผลกำไร หรือ “ผลประโยชน์” ของบรรดาบรรษัทต่างๆ ในอเมริกานั่นเอง ที่เป็นตัวกำหนดแนวนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค แต่ละสมัยมาโดยตลอด หรือถือเป็น “Deep State” ตัวจริง เสียจริง เอาเลยก็ว่าได้ ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลของ “ผู้เฒ่าโจ” จะพยายามสร้างความผิดแผกแตกต่างไปจากรัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า” กันในแบบไหน อย่างไร จะทำให้คุณค่าของความเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น หรือลดลงก็แล้วแต่ แต่สุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่าง คงต้องเป็นไปแบบที่คอลัมนิสต์ชาวออสเตรเลีย อย่างคุณ “Caitlin Johnstone” ท่านได้เคยคาดคำนวณเอาไว้ก่อนล่วงหน้ามานานแล้วนั่นแหละว่า ในเมื่อ “รัฐมนตรีกลาโหมมาจากบรรษัท Raytheon, รัฐมนตรีต่างประเทศมาจากบริษัท Boeing, รัฐมนตรีคลังมาจาก Goldman Sachs, ผู้อำนวยการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมาจาก Exxon Mobil, ผู้อำนวยการซีไอเอมาจาก Amazon และผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติมาจาก Google ฯลฯ” ทุกสิ่งทุกอย่างใน “ความเป็นอเมริกา” ก็ยังคงเหมียนน์น์น์เดิมม์ม์ม์ หรือคงไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากเท่าที่เคยเป็นมาเอาเลยแม้แต่น้อย หรือยังไงๆ...ยังคงต้องเดินหน้าไปตามแบบฉบับของ “ลัทธิจักรวรรดินิยม” อย่างไม่มีทางเป็นอื่นนั่นเอง...