“ไทยออยล์” แจงปี 63 พลิกขาดทุน 3.3 พันล้านบาท ลดลง 153% จากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 6.2 พันล้านบาท โดยมีรายได้การขายที่ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 และขาดทุนสต๊อกน้ำมันกว่า 7 พันล้านบาท พร้อมประกาศปันผล 0.70 บาท/หุ้น
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยสำหรับผลดำเนินงานปี 2563 ว่า บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ 3,301.40 ล้านบาท ลดลง 153% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,276.68 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 242,840 ล้านบาท ลดลง 118,928 ล้านบาท หรือ 57% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายผลิตภัณฑ์และปริมาณการขายผลิตภัณฑ์รวมที่ปรับลดลงจากผลกระทบของสงครามราคาน้ำมัน และการระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของสาร LAB จะดีขึ้น
ขณะที่กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 2.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 2.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ยังมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 7,399 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,581 ล้านบาท
ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกลุ่มไทยออยล์ในปี 2563 ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน จากค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนในปีที่แล้วประกอบกับในปีนี้กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการในการบริหารงานระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA ติดลบ 2,055 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ EBITDA 14,149 ล้านบาท โดยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ1,784 ล้านบาทจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยมีต้นทุนทางการเงิน 4,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 5,801 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าครึ่งหลังของปี 2563 หลังตลาดคาดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มคลี่คลาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มขยายตัว รวมถึงมีความคืบหน้าการพัฒนาและส่งมอบวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่น ประเทศนอร์เวย์ และบราซิล รวมถึงสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มกำลังการผลิตเช่นกัน
ส่วนธุรกิจการกลั่นคาดว่าครึ่งปีแรกนี้จะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังหลายประเทศเริ่มมีการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 และเริ่มมีการฉีดให้แก่ประชาชน ประกอบกับแรงหนุนจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกซึ่งจะช่วยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล สำหรับภาคคมนาคมขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมให้ฟื้นตัวดีขึ้น แต่ตลาดน้ำมันอากาศยานยังมีแนวโน้มถูกกดดันต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2563 ที่ 0.70 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 26 เม.ย. 2564