นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤตมลภาวะ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (climate change) ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลกนั้น ได้มีแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐ และภาคประชาชนที่ตระหนักถึงความต้องการลดมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลกและนำไปสู่ความต้องการพลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ของพลังงานหมุนเวียนมีความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์มากขึ้น จึงถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่คาดว่าจะเติบโตอีกกว่า 7 เท่าในอีก 20 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจะสร้างมูลค่าอย่างมหาศาล และทำให้เงินลงทุนเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง และความก้าวหน้าของโลก
ทั้งนี้ บลจ.เอ็มเอฟซีจึงเสนอ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี รีนิวเอเบิล เอนเนอร์จี เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานยั่งยืน และเป็นการลงทุนเพื่อลดวิกฤตของระบบนิเวศของโลก โดยกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี รีนิวเอเบิล เอนเนอร์จี (MRENEW) เป็นกองทุนรวมตราสารทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายลงทุนใน BGF Sustainable Energy Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ กองทุนหลักบริหารจัดการโดย Blackrock บริษัทจัดการชั้นนำของโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่คำนึงและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นของธุรกิจพลังงานยั่งยืนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วโลก ได้แก่ บริษัทที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Power) การขนส่งโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Transport) และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ซึ่งนับเป็นกลุ่มธุรกิจ ESG ที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องและมีความยั่งยืน อนึ่ง กองทุนหลักได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว และ 5 globe Morningstar sustainability rating
วิกฤตเศรษฐกิจโลกจากโรคระบาดโควิด-19 น่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว และกำลังฟื้นตัวภายใต้บริบทใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อการใช้พลังงานสะอาดและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ภาวะโลกร้อน ภัยพิบัติ และปัญหามลพิษ ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 ประกอบกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีต้นทุนลดลงจนถูกกว่าการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็นแหล่งพลังงานหลักในปัจจุบัน BP Energy Outlook คาดว่าความต้องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในอีก 20 ปีข้างหน้า และ Next Green Car คาดว่าการขนส่งโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า จะขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปีไปจนถึงปี 2583 รวมถึงความก้าวหน้าของนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน เช่น บ้านอัจฉริยะ (Smart home) ดังนั้น บริษัทที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้กระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรสูงในระยะยาว ในภาวะที่สภาพคล่องในระบบการเงินให้อยู่ในระดับสูง
กองทุนเปิด MRENEW เหมาะสำหรับผู้สนใจลงทุนในระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน และคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในประเทศ สามารถรับความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน