ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
การประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดความกังวลต่อการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งในมุมมองของผมคาดว่าปัจจัยด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุนยังไม่น่าจะย้ายจากประเทศกลุ่ม EM อย่างมีนัยสำคัญมากนัก จากเหตุที่ผมเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ เช่น สภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่อีกมาก เป็นผลให้กระแสเงินทุนย่อมไหลมายังตลาดที่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทน
อย่างไรก็ดี ในปีหน้าหลายปัจจัยน่าจะมีความผันผวนพอสมควร ผู้ลงทุนควรมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง โดยให้ความสำคัญในเรื่องการจัดสรรเงินลงทุน แนวทางการปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งในปีหน้าสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ผมมองว่าควรมีการแบ่งสัดส่วนการลงทุนในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50% ส่วนในแง่ของประเภทสินทรัพย์ (Asset Class) ควรจะมีดังนี้
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ สัดส่วนประมาณ 20% โดยเน้นเลือกลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากบริษัทผู้ประกอบการยังมีแนวโน้มอัตราการจ่ายปันผลดีที่ ซึ่งได้รับประโยชน์จากภาคการลงทุนของทางรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐาน โดยกองทุนอสังหาฯ จะเหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ซึ่งในแง่ของอัตราผลตอบแทนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่อัตราผลตอบแทนยังได้รับปัจจัยกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
โดยทาง บลจ.วรรณมองว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไปในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังเอื้อต่อทิศทางเศรษฐกิจ ประกอบกับหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็วเกินไป ผมมองว่าจะเป็นการซ้ำเติมการอ่อนค่าของค่าเงินบาท เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนค่ามากเกินไป ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทของเราในปีหน้ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นผลมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ผมแนะนำให้จัดสรรเงินลงทุน ประมาณ 10-15% เพื่อลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง เช่น สหรัฐฯ สิงคโปร์ เป็นต้น เนื่องจากผมมองว่าราคาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึง yield spread จะมีความผันผวนน้อยลงจากครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นผลมาจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้น
กองทุนหุ้นในประเทศ สัดส่วนประมาณ 20% โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับปัจจัยบวกสนับสนุนความน่าสนใจจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมูลค่าหุ้นของตลาดหุ้นไทยยังต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านในแถบภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งผมมองว่าท่าทีการปรับขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ หากเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมๆ กับการประเมินความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาใน Emerging Market กองทุนหุ้นต่างประเทศ สัดส่วนประมาณ 30% โดยเฉพาะตลาดหุ้นในแถบยุโรปโซนและญี่ปุ่นมีความน่าสนใจเพราะตลาดหุ้นยังได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ สัดส่วนประมาณ 10% โดยเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชน เนื่องจากในแง่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนยังมีความน่าสนใจหากเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดยมี yield spread ของตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชนระดับ Investment Grade อยู่ที่ 0.5-2.0% กองทุนตราสารหนี้ในต่างประเทศ สัดส่วนประมาณ 5% เพื่อป้องกันการเสียโอกาสด้านการลงทุน ซึ่งผมแนะนำให้ลงทุนในสัดส่วนที่น้อย จากปัจจัยความเสี่ยงของราคาตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะปานกลาง-ยาว ที่ได้รับผลกระทบจากการ Mark to Market ที่เป็นผลมาจากทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตราสารหนี้ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรประเมินความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ควบคู่กับการพิจารณาแนวทางการจัดพอร์ตการลงทุนดังกล่าวข้างต้น ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลัง ผมมองว่ายังมีปัจจัยใหม่ๆ ที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นต่อภาพการลงทุน เช่น ทิศทางราคาน้ำมัน ภาพเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเช่นประเทศจีน รวมถึงภาพเศรษฐกิจภายในประเทศไทยเรา ซึ่งผมจะทยอยนำข้อมูลมาเสนอเพื่อเตรียมพร้อมด้านการลงทุนในโอกาสต่อไป
• “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน