xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าปี 59 ลุยธุรกิจรีทส์-กองทุนอินฟราฯ เต็มสูบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าปี 59 ลุยธุรกิจรีทส์-กองทุนอินฟราฯ เต็มสูบ เชื่อ AUM จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 1.2 ล้านล้านบาท

นายสมิทธิ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้บริหาร (AUM) ปี 2559 เติบโต 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2558 ประมาณ 150,000 ล้านบาท ส่วน AUM ปี 2558 คาดว่าจะจบที่ระดับ 1.05 ล้านล้านบาท เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าพอร์ตกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมถึงกองทุนหุ้นอื่นๆ รวมเป็นเม็ดเงินรวม 10,000-20,000 ล้านบาท ส่งผลให้ AUM ของบริษัทปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายไว้

สำหรับกองทุนที่จะช่วยดัน AUM ช่วงปี 2559 เติบโตได้ตามเป้าหมายไว้ที่ 1.2 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะมาจากฝั่งกองทุนประเภทโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค หรือ อินฟราสตรักเจอร์ต่างๆ ซึ่งกองทุนดังกล่าวบริษัทได้มีการดีลอยู่หลายราย เชื่อว่ากองทุนประเภทอินฟราฯ ดังกล่าวจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าอุตสาหกรรมมากถึง 100,000-200,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้ส่วนแบ่งจากอุตสาหกรรมประมาณ 1 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุน 100,000-200,000 ล้านบาท

“กองทุนที่สามารถสร้างรายได้ดีให้กับบริษัทคงไม่พ้นกองทุนประเภทอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ เพราะกองทุนดังกล่าวมีมูลค่ามากเป็นหลักหมื่นถึงหลักแสนล้านบาท หากได้กองทุนประเภทนี้เข้ามาก็จะทำให้ AUM ของบริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายได้ง่าย ทั้งนี้ ธนาคารมีงานในมือดังกล่าวแล้ว คาดว่าน่าจะเห็นได้ในช่วงปี 59 ส่วนกองทุนประเภทรีทส์ บริษัทคงไม่เน้นออกใหม่มากนักแต่ก็ยังคงต้องมีออกมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนำสินทรัพย์ใหม่ๆ ใส่เข้ามาเพิ่มมากกว่า สำหรับมูลค่ากองทุนรีทส์และอินฟราฯ ของบริษัทขณะนี้มีประมาณ 340,000 ล้านบาท กองทุนหุ้น 100,000 ล้านบาท”

นายสมิทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลยุทธ์ช่วงปีหน้า บริษัทจะเน้น 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1. ยังคงเน้นแผนเดิมที่ใช้ในช่วงปีนี้ โดยการแนะนำการปรับพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนได้ในระดับสูง 2. บริษัทจะทำความใกล้ชิดกับสายงานวาณิชธนกิจของฝั่งธนาคารไทยพาณิชย์มากขึ้น เนื่องจากธนาคารจะรุกงานด้านอินฟราฯ ต่างๆ ประกอบกับทาง บลจ.ไทยพาณิชย์มีแผนที่จะรุกงานนี้ในช่วงปี 2559 เช่นกัน ทั้งโรงไฟฟ้า ทางหลวง ท่าเรือ และสื่อสาร ส่วนเน้นที่ 3 คือ บริษัทจะยังคงต่อยอดกองทุนบริหารค่าเงินจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง ผ่านกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ (SCBFST) มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่า โดยมองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงปีหน้าที่คาดว่าค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าประมาณ 37-40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

“ที่ผ่านมามีนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรค่าเงินสามารถลงทุนรูปแบบต่างๆ อาทิ การลงทุนในทองคำ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงจากทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและจากราคาทองคำที่ผันผวนได้ หรือลงทุนด้วยการซื้อดอลลาร์เก็บไว้แล้วจึงค่อยนำมาขายเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเป็นที่น่าพอใจ แต่การลงทุนเช่นนี้ก็เกิดผลเสียได้เพราะเสียส่วนต่างซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนแถมยังต้องเก็บรักษาเงินสดไว้เป็นอย่างดี บางรายอาจเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ หรือบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) ซึ่งบัญชีประเภทนี้ก็จะมีค่าธรรมเนียมสูงและดอกเบี้ยต่ำ กองทุนนี้จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่าทางเลือกอื่นๆ ข้างต้นเมื่อนักลงทุนต้องการลงทุนในเงินสกุล USD” นายสมิทธ์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น