บลจ.ไทยพาณิชย์จับจังหวะส่งกองทุน “ไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ” ลุยลงทุนในสหรัฐฯ ชูนโยบายเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน คาดเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังเฟดมีความชัดเจนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าแนวโน้มในปี 2559 เงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงอีก โดยมองว่าน่าจะอยู่ในระดับ 37-40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยสำคัญคือ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้งและรวดเร็วเพียงใด การขึ้นดอกเบี้ยของ FED อาจทำให้เงินทุนไหลออกจากภูมิภาคเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ทั้งหลายจึงมองว่าเงินบาทคงจะยังอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2 ปี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ (SCBFST) มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่า โดยมองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED มีความชัดเจนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธันวาคมปีนี้ จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
“ที่ผ่านมามีนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรค่าเงินสามารถลงทุนรูปแบบต่างๆ อาทิ การลงทุนในทองคำ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงจากทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและจากราคาทองคำที่ผันผวนได้ หรือลงทุนด้วยการซื้อดอลลาร์เก็บไว้แล้วจึงค่อยนำมาขายเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเป็นที่น่าพอใจ แต่การลงทุนเช่นนี้ก็เกิดผลเสียได้เพราะเสียส่วนต่างซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนแถมยังต้องเก็บรักษาเงินสดไว้เป็นอย่างดี บางรายอาจเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ หรือบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) ซึ่งบัญชีประเภทนี้ก็จะมีค่าธรรมเนียมสูงและดอกเบี้ยต่ำ บางรายอาจจะลงทุนด้วยการนำเงินเดินทางไปเปิดบัญชีในต่างประเทศด้วยตนเอง ซึ่งบัญชีที่ต่างประเทศก็จะมีดอกเบี้ยที่ต่ำมาก มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ทั้งยังเกิดความเสี่ยงในเรื่องของการนำเงินออกนอกประเทศอีกด้วย กองทุนนี้จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่าทางเลือกอื่นๆ ข้างต้นเมื่อนักลงทุนต้องการลงทุนในเงินสกุล USD”
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ จะเริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 17-23 พฤศจิกายน 2558 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศเป็นหลัก เช่น ตราสารแห่งหนี้ระยะสั้นทั้งภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน ภาคเอกชน เงินฝาก หน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ เป็นต้น เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เปรียบเทียบกับดัชนีมาตรฐาน BofA Merrill Lynch US 3-month Treasury Bill ซึ่งเป็นดัชนีที่อ้างอิงผลตอบแทนจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุประมาณ 3 เดือน เบื้องต้นจะลงทุนผ่านตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
โดยจุดเด่นของกองทุนนี้ คือ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการบริหารค่าเงินจากอัตราแลกเปลี่ยนแบบเชิงรุก สอดคล้องกับแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนอาจลงทุนหรือใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินในสกุลเงินต่างประเทศที่กองทุนถืออยู่เทียบกับสกุลเงินบาท ตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน