ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดที่ประชุม กนง. วันที่ 4 พ.ย.นี้ จะมีมติคงอัตรา ดบ.นโยบายไว้ที่ 1.5% เนื่องจากต้องรอประเมินผลกระทบทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเดือนหน้า อันเป็นผลจากการที่ตลาดคาดว่า เฟดอาจปรับขึ้น ดบ.ในการประชุมเดือน ธ.ค.นี้ พร้อมแนะจับตาความเสี่ยงด้านเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคที่อาจจะกลับมาอีกครั้ง โดยมีประเด็นที่สำคัญ คือ เหตุการณ์ทุจริตในกองทุน 1MDB ที่อยู่ระหว่างการสืบสวน ซึ่งต้องเกาะติดว่าจะบานปลายจนส่งผลกระทบไปถึงเงินทุนเคลื่อนย้ายในภูมิภาคหรือไม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมวันที่ 4 พ.ย.นี้ ท่ามกลางความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกลางเดือน ธ.ค.นี้
ทั้งนี้ การส่งสัญญาณของเฟดถึงความเป็นไปได้ที่จะเริ่มกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค. คงจะส่งผลให้ กนง.ตัดสินใจรอประเมินผลของกระทบของการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดเงินตลาดทุนของไทยในระยะข้างหน้า
กรณีดังกล่าว เฟดได้ตอกย้ำถึงความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ดังที่ได้ระบุในบันทึกหลังการประชุมเฟดวันที่ 27-28 ต.ค.58 ว่า จะมีการถกเถียงเกี่ยวกับความเหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของปีนี้ อันส่งผลให้ตลาดการเงินปรับการคาดการณ์ถึงโอกาสที่สูงขึ้นที่เฟดอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ได้อีกครั้ง
ด้านตลาดหุ้นไทยเอง และตลาดหุ้นในภูมิภาคก็ได้ปรับตัวลดลงหลังการประชุมเฟดจากการลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวสูงขึ้นจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน ทั้งนี้ กระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนในภูมิภาคอาจจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นได้อีกในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เข้าใกล้การประชุมเฟดรอบต่อไป
ขณะที่ความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเริ่มบรรเทาลงบางส่วน คงจะทำให้ กนง.มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับปัจจุบัน ก่อนการรายงานจีดีพีไตรมาส 3/58 ของ สศช.ในวันที่ 16 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ พัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/58 หลายตัวเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เช่น การบริโภคสินค้าไม่คงทนที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคสินค้าคงทนก็มีการติดลบที่น้อยลง ตลอดจนการเบิกจ่ายภาครัฐที่สามารถขยายตัวได้ในอัตราที่ค่อนข้างสูง
นอกจากนั้น การออกมาตรการต่างๆ ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาซึ่งช่วยหนุนนำกำลังซื้อของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเงินกู้ยืมให้แก่กองทุนหมู่บ้าน รวมทั้งมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็น่าจะช่วยรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่เหลือของปีนี้จนถึงช่วงต้นปีหน้าได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะทยอยปรับดีขึ้นในช่วงที่เหลือในปีนี้ โดยจีดีพีในไตรมาส 3 และ 4 น่าจะขยายตัวที่ 0.5 % QoQ และ 1.0 % QoQ ตามลำดับ
ขณะที่มุมมองเศรษฐกิจภายนอกประเทศก็เริ่มมีพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้น หลังจากที่ทางการจีนได้มีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะช่วยลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงแรง และสร้างอานิสงส์ให้แก่การส่งออกในประเทศคู่ค้าของจีน รวมถึงไทยในระยะข้างหน้า
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติมในระยะสั้นคงจะได้แก่ ความเสี่ยงด้านเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคที่อาจจะกลับมาอีกครั้ง โดยมีประเด็นจับตาที่สำคัญ ได้แก่ สถานการณ์การเมืองของมาเลเซีย ในขณะที่เหตุการณ์ทุจริตที่เกิดขึ้นในกองทุน วันมาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB) ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจจะวกกลับมากระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการไหลออกของกระแสเงินทุนอีกครั้ง จนกระทบต่อประเด็นด้านเสถียรภาพของประเทศในท้ายที่สุด เนื่องจากระดับเงินทุนสำรองของมาเลเซียเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากนับจากต้นปี โดยอยู่ที่ประมาณ 1 เท่าในปัจจุบัน
ดังนั้น หากมาเลเซียเผชิญต่อภาวะการไหลออกของเงินทุนขนาดใหญ่ก็อาจจะก่อให้เกิดประเด็นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพภายนอกตามมา และส่งผ่านผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมทั้งไทยด้วย
ทั้งนี้ เมื่อมองต่อไปถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินไทยในระยะถัดไปแล้วนั้น คาดว่า กนง. อาจจะยังสามารถที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำได้อีกระยะหนึ่ง แม้ว่าเฟดจะเริ่มกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนแล้วก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันสภาพคล่องในตลาดการเงินไทยยังคงอยู่ในที่ระดับสูง ซึ่งน่าจะสามารถรองรับสถานการณ์การไหลออกของเงินทุนได้ในระดับหนึ่ง ภายใต้สมมติฐานที่เฟดทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีความชัดเจนมากขึ้น
โดยจากการพิจารณามูลค่าคงค้างของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคีของ ธปท. อันเป็นเครื่องมือในการบริหารสภาพคล่องนั้นมีมูลค่าคงค้างสูงกว่า 1.3 ล้านล้านบาท (29 ต.ค.58) ขณะที่ระดับเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (L/D + B/E Ratio) ของธนาคารพาณิชย์ไทยก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่า โดยอยู่ที่ 0.97 (สิ้นเดือน ส.ค.58) นอกจากนี้ ระดับการพึ่งพาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายนอกประเทศของไทยมีไม่มาก โดยหนี้สินต่างประเทศของไทยเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 2.9 เท่า (หนี้สินต่างประเทศของสถาบันการเงินไทยก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำกว่า 10% ของสินทรัพย์รวม)
ขณะที่สัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนเพียง 6.0% ของมูลค่าคงค้าง ซึ่งเมื่อประกอบภาพเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว คาดว่า กนง.จะยังคงมีพื้นที่ในการรักษาดำเนินนโยบายการเงินในระดับปัจจุบันได้อีกระยะหนึ่งเพื่อที่จะได้มีเวลาประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจในมิติต่างๆ ให้รัดกุมมากขึ้น หลังจากที่เฟดเริ่มกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว