ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชำแหละรายงาน FOMC บ่งชี้เฟดมีโอกาสสูงขึ้น ดบ.ในการประชุมฯ รอบวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ หากเป็นจริงจะส่งผลทิศทำบาทอ่อนค่าแตะ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 27-28 ต.ค.58 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงมีมติยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กรอบร้อยละ 0.00-0.25 ตามที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ และจะดำเนินนโยบายเดิมต่อไปในการนำเงินต้นที่ได้รับจากการครบกำหนดไถ่ถอนของตราสารหนี้ของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ (Agency debts) หลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนองของ Agency (Agency MBS) และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาลงทุนใหม่ เพื่อช่วยให้สถานการณ์ทางการเงินอยู่ในภาวะผ่อนคลายต่อไป
ทั้งนี้ พบว่ามีหลายจุดสังเกตในแถลงการณ์หลังการประชุม FOMC ที่ถูกปรับเปลี่ยนในรอบนี้ ซึ่งอาจสะท้อนว่า เฟดกำลังเตรียมที่จะเปิดทางให้มีการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในการประชุม FOMC รอบวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ เป็นอย่างเร็ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้มีการปรับเปลี่ยนถ้อยแถลงหลังการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 27-28 ต.ค.2558 อีกครั้ง เพื่อเปิดทางให้การประชุม FOMC รอบถัดไปช่วงกลางเดือน ธ.ค.2558 เป็นรอบที่มีความสำคัญ และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนนโยบายการเงินของสหรัฐฯ กลับสู่ระดับปกติ (Policy Normalization) โดยเฟดได้ตัดถ้อยคำที่เคยสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความปั่นป่วนของเศรษฐกิจ และตลาดการเงินโลก (ที่อาจส่งผลต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ) ออกไป และเพิ่มถ้อยคำที่บ่งชี้ถึงท่าทีของเฟดที่ต้องการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อปิดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ในช่วงร้อยละ 0.0-0.25 ต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 7 ปี นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2551 (ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่นานที่สุด เมื่อเทียบกับวัฏจักรการลดดอกเบี้ยหลายๆ รอบที่ผ่านมา)
เฟดระบุในแถลงการณ์หลังการประชุมรอบนี้ว่า จะมีวาระการพิจารณาโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในการประชุม FOMC รอบถัดไปในเดือน ธ.ค.2558 (ซึ่งจะเป็นรอบที่มีการแถลงข่าว หรือ Press Conference และมีการเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจ และ Dot-plot ชุดใหม่) ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แถลงการณ์ดังกล่าวสะท้อนการเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีความชัดเจนมากกว่าในหลายรอบการประชุม FOMC ที่ผ่านมา แม้ว่าเฟดจะยังคงสื่อความต่อนักลงทุน และตลาดการเงินว่า การตัดสินใจทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับข้อมูลตลาดแรงงาน เครื่องชี้แรงกดดันเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ และสถานการณ์เศรษฐกิจ-ตลาดการเงินโลกในระยะข้างหน้าก็ตาม
ตลาดการเงินโลกตอบรับถ้อยแถลงที่แฝงสัญญาณคุมเข้มของเฟดอย่างเป็นระเบียบ โดยดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นแตะ 97.818 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง (สวนทางเงินยูโร และเงินเยนที่อ่อนค่าลง) เช่นเดียวกับตลาดสัญญาอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ล่วงหน้า ที่ปรับเพิ่มโอกาสของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.2558 มาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 จากที่เคยสะท้อนความเป็นไปได้เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น
ส่วนตลาดการเงินไทยก็เคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องต่อตลาดต่างประเทศ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 35.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเช้าของตลาดเอเชีย ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวใกล้ๆ ระดับ 35.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็เผชิญแรงขายท่ามกลางการลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนรับผลการประชุมเฟดในรอบนี้
แนวโน้มการประชุมนัดสุดท้ายของ FOMC ในปีนี้ แม้เฟดเลือกที่จะรอประเมินโมเมนตัมการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงพัฒนาการของเศรษฐกิจ และตลาดการเงินโลกในช่วงประมาณ 1 เดือนครึ่งหลังจากนี้ แต่ขณะนี้ก็มีความเป็นไปได้มากขึ้นว่า เฟดต้องการที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ภายในปีนี้ (เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบกว่า 11 ปี)
ประเด็นที่น่าสนใจนอกเหนือจากทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากการประชุมเฟดนัดหน้า ก็คือ เฟดน่าจะส่งสัญญาณอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า และจะยังคงกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นช่วง หรือ range ไปอีกระยะ (จะยังไม่กลับมากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นค่าเดียว) เพื่อให้มีความยืดหยุ่นการดูแลสภาวะตลาดเงิน ในช่วงที่เฟดทยอยเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย/ปรับสมดุลนโยบายการเงินให้เป็นปกติ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จากการที่โอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ภายในปีนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจ และเครื่องชี้ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนภาพการฟื้น รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางชั้นนำอื่นๆ (เช่น ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางญี่ปุ่น) ที่ยังมีสัญญาณผ่อนคลายตัวอย่างต่อเนื่อง น่าจะทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่า (และอาจจะเข้าทดสอบระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยก็อาจทยอยปรับตัวขึ้น ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่น่าจะมีความผันผวนมากขึ้นเช่นกัน