xs
xsm
sm
md
lg

อเบอร์ดีนยังชอบตลาดหุ้นไทย มองพื้นฐานดีเข้าซื้อช่วงปรับลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อเบอร์ดีนเผย AUM ปรับตัวลดลงเล็กน้อยตามตลาดหุ้นที่ปรับตัวลง แต่มีบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 10,000 บัญชี ชี้กลุ่มอเบอร์ดีนยังให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยที่ยังมีพื้นฐานดี ศก.ไม่แย่มาก สิ้นปีน่าจะมีเงินจาก LTF เข้าพยุงตลาดได้

นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า กลุ่มอเบอร์ดีนยังมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย และไม่ได้ตื่นตระหนกต่อการปรับตัวลดลงของตลาดในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ได้เลือกซื้อหุ้นบางตัวที่มีราคาถูก และมีปัจจัยพื้นฐานดี อย่างไรก็ตาม แต่การปรับตัวของตลาดหุ้นในปีนี้ส่งผลให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของ บลจ.อเบอร์ดีน ลดลงตามไปด้วย เนื่องจากกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกองทุนหุ้น อีกทั้งบริษัทไม่ได้ออกกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุการลงทุน หรือเทอมฟันด์ โดยปัจจุบัน กลุ่มอบอร์ดีนมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นเงินลงทุนของบลจ.อเบอร์ดีน ประเทศไทย ประมาณ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนโยบายการลงทุนจะซื้อและถือระยะยาว 5-10 ปี

ดังนั้น โดยรวมสินทรัพย์ของบริษัทไม่โตเพราะหุ้นตก ซึ่ง 9 เดือนแรกตลาดหุ้นไทยติดลบ 10% ขณะเดียวกัน ก็มีเงินใหม่ไหลเข้ามาบ้างในกองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนยูโรไฮยิลด์บอนด์ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน อินเดีย โกรท ฟันด์ และกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เจแปน ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์ โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ บลจ.อเบอร์ดีน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 4.2 หมื่นล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 6,000 ล้านบาทและที่เหลือเป็นกองทุนส่วนบุคคล

โดยปีนี้มีนักลงทุนรายย่อยมาเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นบัญชี ส่งผลให้ปัจจุบันมีบัญชีเพิ่มเป็น 5 หมื่นบัญชี ซึ่งบัญชีใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาจากตัวแทนขาย โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่นำกองทุนของเราไปเสนอขายให้แก่ลูกค้า เช่น ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และเคไพเวทเวลธ์ ของธนาคารกสิกรไทย ทำให้สัดส่วนการขายกองทุนของ บลจ.อเบอร์ดีน ในปัจจุบันมาจากตัวแทนขาย 60% และมาจาก บลจ.อเบอร์ดีน 40%

สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดว่าจะมีนักลงทุนทั่วไปมาเปิดบัญชีเพิ่มอีก โดยเฉพาะจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนเหมือนทุกๆ ปี

นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่วนตัวมองว่าคงไม่ขึ้นเร็ว และแรง หลังจากนั้นคนจะเริ่มกลับมามองตลาดหุ้นเกิดใหม่ซึ่งราคาถูก และมีโอกาสเติบโตก็จะดึงเงินกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ซึ่งส่วนตัวมองว่าหากดูจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวก็น่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้ แต่ปัจจุบันหลายประเทศเศรษฐกิจยังมีปัญหา เช่น จีน จึงเชื่อว่าเฟดจะต้องดูว่าทุกอย่างนิ่งแล้วหรือยัง ซึ่ง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความผันผวนของตลาดทุน และตลาดเงินเริ่มลดลง หลังจากจีนออกมาตรการน้อยลง เพราะทุกครั้งที่จีนออกมาตรการนักลงทุนจะกังวล

ทั้งนี้ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ จากก่อนหน้าที่เม็ดเงินไหลออกไปจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่มีราคาถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป จึงทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนหนุนให้ดัชนีรีบาวนด์ขึ้น ประกอบกับค่าเงินในตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลงมากในปีนี้ โดยเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงประมาณ 10% ในปีนี้ และไม่ได้แย่สุด ยังมีประเทศอื่นที่ค่าเงินอ่อนค่ามากกว่าเงินบาท ส่งผลให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยิ่งลดลง เพราะนักลงทุนที่ลงทุนในสกุลดอลลาร์แล้วเมื่อตลาดหุ้นลง ค่าเงินอ่อนก็ได้ผลตอบแทน 2 ทาง แต่ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนนิ่ง ความผันผวนเริ่มนิ่ง นักลงทุนต่างชาติก็จะกลับมามองการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เพราะในระยะยาวยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ

ด้านตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทางเดียวกับตลาดหุ้นเกิดใหม่จากเงินไหลกลับมาลงทุน แต่หากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังคงอ่อนแอ กำไรบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหนี้เสียของธนาคารยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จุดที่สำคัญหนี้เสียใหม่จะหยุดเพิ่มขึ้นเมื่อไร คาดว่าเศรษฐกิจจะต่ำสุดน่าจะเป็นปีหน้า และรอดูมาตรการต่างๆ ของรัฐที่เข้าไปช่วย SME มาตรการเร่งการลงทุนใหญ่ๆ เชื่อว่าอย่างน้อยคงช่วยความมั่นใจให้นักลงทุน รวมถึงมาตรการช่วยรากหญ้ามองว่าเป็นสิ่งจำเป็น

“เมืองไทยไม่ได้ย่ำแย่เมื่อเทียบประเทศอื่น ตลาดหุ้นเกิดใหม่แย่กว่าหุ้นไทยมาก ส่งออกลดลง ยิ่งประเทศที่พึ่งพาน้ำมัน อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซียถูกกระทบมากกว่าเรา ที่เราแย่เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ ค่าเงินบาทอ่อน ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ถ้าเราไม่เจอความผันผวนจากต่างประเทศเราอาจโตได้ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีมาตรการออกมาเร่งรัดโครงการใหญ่ๆ ในปีนี้ได้จะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน”นายอดิเทพ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นคงไม่ปรับตัวขึ้นแรงเหมือนที่ผ่านมา โดยตอนนี้ตลาดหุ้นไทยติดลบ 5-6% แต่คาดว่าไตรมาสสุดท้ายเงินลงทุนใน LTF และ RMF จะเข้ามาพยุงตลาดไม่เหมือนที่ผ่านมา


กำลังโหลดความคิดเห็น