บลจ.กรุงศรีเผย AUM ปีนี้โตต่ำกว่าเป้าจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี ชี้มีเงินไหลลงทุนออกเล็กน้อยหลังผู้บริหารคนเก่าลาออก นักลงทุนและเอเยนต์ยังไว้ใจการบริหาร เล็งออกกองทุน FIF เพิ่มทางเลือกการลงทุน
นายอลัน ชิ ยิม แคม ประธานกรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทเติบโตล่าสุดอยู่ที่ระดับ 302,000 ล้านบาท คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ดังกล่าวจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปีที่ 324,000 ล้านบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่เอื้ออำนวยอย่างที่คาดการณ์ไว้ และเชื่อว่าธุรกิจ บลจ.ในระบบต่างก็ประสบปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AUM ทั้งปีของบริษัทจะไม่เป็นไปตามที่วางไว้ก็ตาม แต่ก็ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปีที่ผ่านมาที่ AUM อยู่ที่ 278,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%
ส่วนกรณีที่ผู้บริหารตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนได้มีการยื่นใบลาออกไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนายนายฉัตรพี ตันติเฉลิม และนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ เดิมทีบริษัทคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจาก AUM ประมาณ 40,000 ล้านบาท แต่จากการประเมินล่าสุดพบว่าเม็ดเงินดังกล่าวไหลออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ AUM ของบริษัทยังคงสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา
“หลังจากที่มีการลาออกของผู้บริหาร ก็คาดว่าจะมีเงินไหลออกจาก AUM ประมาณ 40,000 ล้านบาท นับตั้งแต่วันนั้นถึงขณะนี้พบว่ามีเงินไหลออกน้อยมาก จากการที่ได้มีการเดินสายคุยกับเอเยนต์ ลูกค้า และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ทุกคนยังไว้ใจให้บริหารเงินให้ เอเยนต์ก็สนับสนุนเช่นเดิม ทำให้ AUM ไม่ได้หาย ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้าหมาย AUM ปีนี้โต 324,000 ล้านบาท แต่อาจจะพลาดเป้าหมาย เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี” นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้บริษัทยังคงผลักดัน AUM ให้เติบโตให้ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ โดยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายให้แก่ลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้เป็นช่วงที่กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าเป็นจำนวนมากเพื่อใช้สิทธิทางด้านภาษี
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมนำกองทุน LTF และ RMF เดิมมาเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างการลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เข้าไป เพื่อเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนต่อเนื่อง และเป็นการเพิ่มช่องทางในการสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนด้วย บริษัทเชื่อว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีเงินลงทุนไหลเข้ากองทุน LTF และ RMF รวมทั้งสิ้นประมาณ 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมออกกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้จำนวน 1 กองทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอจัดตั้งกับทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ก.ล.ต.) รวมไปถึงการวางแผนธุรกิจช่วงปี 2559 ด้วย ในเบื้องต้นยังคงเน้นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) ปีนี้ยังคงเติบโตดีกว่าช่วงปีที่ผ่านมา คาดว่าจะเติบโตกว่า 15% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ขณะที่ค่าฟีช่วงปี 2557 เติบโตประมาณ 500 ล้านบาท
“ช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้โอกาสที่ AUM ขยับขึ้นก็มี เพราะเงินที่ไหลออกเป็นพวกฟิกซ์อินคัม ส่วนเงินใหม่ที่เข้ามาเป็นพวก FIF ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ ฉะนั้น FIF จะช่วยค่าฟีบริษัทให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อย่างช่วงที่ผ่านมาบริษัทออกกองทุนพวก FIF ที่มีประโยชน์แก่ลูกค้า 4-5 กองทุน อย่างกองทุนเฮลท์แคร์ กองทุนหุ้นญี่ปุ่น เป็นต้น ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้เน้นทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะเน้นไปในเรื่องของ product ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น” นายอลันกล่าว