2 หัวเรือใหญ่ บลจ.กรุงศรี “ฉัตรพี” และ “ประภาส” ลาออก เตรียมจับตาทิศทางและผลงานกองทุนรวม แม้ประธานกรรมการมองธุรกิจยังเดินได้ปกติ
แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจกองทุนรวม เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (21 พ.ค.) นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี และนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี ได้ยื่นหนังสือลาออกจาก บลจ.กรุงศรีแล้ว หลังจากทำงานมานานเกือบ 10 ปีและมีส่วนในการผลักดันให้กองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.กรุงศรีเป็นที่รู้จักของนักลงทุน รวมทั้งยังบริหารจัดการกองทุนจนได้รับรางวัลมาหลายกองทุน
อย่างไรก็ตาม บลจ.กรุงศรีได้แต่งตั้งให้นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน ตราสารทุน รักษาการในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน แทนนายประภาสเป็นการชั่วคราว มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารนั้น ทางธนาคารกรุงศรีจะนำเรื่องพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการในสัปดาห์หน้า
“มีความเป็นไปได้ที่นายประภาสและนายฉัตรพีจะก่อตั้ง บลจ.แห่งใหม่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะซื้อใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจกองทุนจาก บลจ.ฟินันซ่า ที่หลังจากควบรวมกับ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จึงมีใบอนุญาตเหลืออยู่หรือจะยื่นขอใบอนุญาตใบใหม่”แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ นายฉัตรพีเข้าทำงานใน บลจ.กรุงศรี เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2549 ตั้งแต่เป็น บลจ.อยุธยาเจเอฟ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2549 อยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนนายประภาสสามารถนำทีมผู้จัดการกองทุนผลักดันให้กองทุนของ บลจ.กรุงศรีมีผลงานกองทุนหุ้นและกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ติดอันดับหนึ่งได้หลายปี โดยเฉพาะกองทุน LTF ที่ดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาลงทุนได้อย่างต่อเนื่องทุกปี
นายอลัน ชิ ยิม แคม ประธานกรรมการ บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า เป็นที่น่าเสียดายสำหรับบุคคลทั้งสองท่านที่ได้ลาออกไป ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจาก บลจ.กรุงศรีมีการทำงานเป็นทีม มีระบบและมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ ซึ่งบางคนอยู่มาตั้งแต่จัดตั้งบริษัท นอกจากนี้เชื่อว่าทีมการตลาดจะสามารถดูแลลูกค้าทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดีเหมือนที่้ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีผลต่อกองทุนและธุรกิจยังเดินต่อไปได้ตามปกติ
ปัจจุบัน บลจ.กรุงศรีมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) รวมประมาณ 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนรวมประมาณ 242,380 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 6.06% ณ วันที่ 30 เม.ย. 2558 ส่วนกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่าสินทรัพย์ 38,488 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาด 7.22% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมูลค่า 24,955 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาด 2.93% ณ วันที่ 31 มี.ค. 2558