xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.กรุงศรีรุกขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้า AUM แตะ 3.3 แสนล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.กรุงศรีตั้งเป้า AUM ปีนี้โต 3.3 แสนล้าน รุกขยายฐานลูกค้าผ่านเครือข่ายธนาคาร มองการลงทุนในไทยไม่สดใส เศรษฐกิจขยายตัวต่ำมาก แนะการลงทุนต่างประเทศ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ที่ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันต่ำ และการอัดฉีดสภาพคล่อง

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า ในปี 2557 ที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จอย่างมาก มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 ของอุตสาหกรรม และทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารโดยรวมเติบโต 37% ในขณะที่อุตสาหกรรมมีการเติบโต 20% และในปีที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) ที่เป็นกองทุนหุ้นทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม และกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) ที่มีขนาดกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มกองทุน LTF ขณะที่ภาพรวมของกองทุนหุ้น กองทุน LTF และกองทุนตราสารหนี้ มีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดด ทำให้กองทุนหุ้นมีอัตราการเติบโต 50% กองทุน LTF มีอัตราการเติบโต 51% กองทุนตราสารหนี้ มีอัตราการเติบโต 48% นอกจากนี้บริษัทยังมีจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่มสูงขึ้น 31% และในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 3.3 แสนล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 22% จากสิ้นปี 2557 ที่อยู่ระดับ 2.7 แสนล้านบาท โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้จะมุ่งเน้นการขยายลูกค้าผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารกรุงศรี 654 สาขาทั่วประเทศ และหาโอกาสและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า

นายไบรอัน ตัน ผู้บริหารระดับสูงของเจพีมอร์แกน แอสเสทแมเนจเมนต์ กล่าวว่า เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันที่การขยายตัวของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น การกระจายการลงทุนและการบริหารการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเจพี มอร์แกน ได้ร่วมมือกับ บลจ.กรุงศรี ในการเพิ่มโอกาสการลงทุนในต่างประเทศให้แก่นักลงทุนไทยผ่านกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทยและนำเงินไปลงทุนในกองทุนของเจพีมอร์แกนที่มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยมีมุมมองทางเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง โดยเฉพาะประเทศที่นำเข้าน้ำมัน แม้ประเทศที่ส่งออกก็ได้รับผลกระทบ แต่โดยรวมแล้วทำให้เศรษฐกิจโลกมีการเติบโต ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป แต่จะเป็นการขึ้นอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อขึ้นดอกเบี้ยอาจจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าและกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจได้

ขณะที่เศรษฐกิจยุโรป การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางยุโรปเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบและกระตุ้นการบริโภคทำให้มีเงินจำนวนมากในตลาดโลกและเป็นผลดีต่อการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นยุโรปจะคงภาวะเช่นนี้ไปอีก 2-3 ปี ส่วนตลาดเอเชียนั้น ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นผลดีต่อประเทศที่ส่งออก แต่ก็มีปัจจัยที่กระทบคือเรื่องค่าเงินที่มีการเปลี่ยน

“โดยรวมแล้วการลงทุนในหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ โดยตลาดที่น่าสนใจคือ สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน รองลงมาคือยุโรปที่ยังมีมุมมองที่เป็นบวกจากการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ทำให้บริษัทจดทะเบียนในยุโรปในปีนี้คาดว่าจะโตที่ 9% ส่วนตลาดเกิดใหม่ราคาหุ้นถูกแต่ต้องดูเป็นบางประเทศ”

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2558 มองว่ายอดส่งออกจะขยายตัวในระดับต่ำมากจากปัจจัยความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนไป ยังมีเรื่องของการย้ายฐานการผลิต และการถูกตัด GSP สำหรับการบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะยังคงอ่อนแอ เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับต่ำ และหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ธนาคารต่างๆ มีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับรายจ่ายในอนาคต ในส่วนของการลงทุนของภาคเอกชนยังคงรอดูความชัดเจนจากภาครัฐ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จะเริ่มได้เมื่อไหร่ ส่งผลให้แรงกระตุ้นจากภาครัฐยังไม่พอที่จะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเร็วๆ นี้

“เมื่อมองในภาพรวมแล้ว คาดว่าบรรยากาศเศรษฐกิจในปีนี้จะยังคงดูไม่สดใสนัก เพราะปัจจัยขับเคลื่อนหลักทั้งการส่งออก และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ ในขณะที่การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะให้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงต้องรอระยะเวลาพอสมควรจึงจะเห็นผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินล่าสุดมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.75% จากระดับเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่น”


กำลังโหลดความคิดเห็น