บลจ.วรรณแนะลงทุนในหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทย เชื่อแนวโน้มการลงทุนยังสดใส โดยเฉพาะผลบวกจาก QE ที่มาตามคาด ผลักให้กองทุนเปิด ONE-EURO รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติอีกครั้ง ขณะที่กองหุ้นไทยรับอานิสงส์จ่ายปันผลรวด 6 กองทุน
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาปรับตัวในลักษณะ Sideway Up แม้จะมีความผันผวนระหว่างทางบ้าง หลังจากที่นักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศของยูเครนและรัสเซีย แต่ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และการเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียบางประเทศ ประกอบกับการผ่อนคลายสภาพคล่องเพิ่มเติมของทางธนาคารกลางหลักในประเทศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและยูโรโซน ด้วยเม็ดเงินมหาศาลก็สามารถผลักดันให้ดัชนีฯ ตลาดส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นได้
ขณะที่ในปีนี้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศระยะถัดไปในระยะสั้นมองว่าตลาดหุ้นยังคงปรับตัวได้ต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความผันผวนระหว่างทางบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการดำเนินนโยบายของพรรคไซรีซา หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของกรีซ ทำให้ตลาดมองว่าอาจมีการแยกกรีซออกจากยูโรโซนและอาจเกิดปัญหาการชำระหนี้ประเทศกับทาง IMF และธนาคารกลางยุโรป ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอดูเหตุการณ์ก่อน แต่อย่างไรก็ดี ด้วยกระบวนการทางกฎหมายและคะแนนเสียงที่พรรคดังกล่าวยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียวแล้ว ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อ Sentiment เชิงลบในระยะสั้นเท่านั้น และจะไม่กระทบในวงกว้าง ทำให้ตลาดจะยังสามารถกลับมาดีขึ้นได้ในช่วงถัดไป
สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากสภาพคล่องที่ยังคงล้นระบบจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณของธนาคารกลางหลักของญี่ปุ่นและยูโรโซนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยูโรโซนที่การประชุม ECB ล่าสุดได้ประกาศการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลภายใต้วงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนตั้งแต่เดือนมี.ค. 58 ถึงเดือน ก.ย. 59 ซึ่งคิดแล้วเป็นมูลค่าวงเงินรวมสูงถึง 1.2 ล้านล้านยูโร และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ค่อนข้างมากที่ 5 แสนล้านยูโร ซึ่งจะผลักดันให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและทำให้สินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นที่น่าสนใจทิศทางราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัวได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Sentiment การลงทุนเริ่มผันผวนน้อยลง และทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่ม Market Cap ค่อนข้างใหญ่ในแต่ละตลาดหุ้น เริ่มรักษาระดับราคาไว้ได้ หลังจากที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา
โดยมองว่าราคาน้ำมันตอนนี้เริ่มใกล้เคียงกับราคาต้นทุน (Cashing Cost) ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้คาดว่า Downside Risk ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัด โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะเคลื่อนไหวได้ในกรอบ +/- 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเล็กน้อย และยังเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ จากต้นทุนพลังงานที่ปรับลดลง ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในระดับที่มากหรือน้อยเพียงไร สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามได้แก่ ท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ในส่วนของยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ควบคู่ไปด้วย เพราะบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มเติม นอกเหนือจากแรงสนับสนุนเชิงบวกดังกล่าวเช่นกัน
สำหรับด้านการลงทุนของตลาดหุ้นไทยนั้น เรายังมีมุมมองเชิงบวกสอดคล้องกับตลาดหุ้นโดยรวมของทั่วโลกเช่นเดียวกัน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว นำโดยการใช้จ่ายภาครัฐจากการเริ่มประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะนำมาซึ่งการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันโลกที่ลดลง และราคาสินค้าการเกษตร เช่น ข้าว และยางพารา ที่เริ่มฟื้นตัวได้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการส่งออกในปี 2558 ให้ฟื้นตัวได้ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าด้วยแรงสนับสนุนผ่านมาตรการของภาครัฐและการเมืองที่คลี่คลายก็น่าจะทำให้การท่องเที่ยวในปีนี้มีการฟื้นตัวได้ โดยจะเห็นได้ว่าสัญญาณการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 4/57 ที่ผ่านมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นที่สำคัญ
นอกจากปัจจัยพื้นฐานที่ฟื้นตัวแล้ว ผมยังมองว่าปัจจัยที่สำคัญที่ยังผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวต่อไปได้ ได้แก่ สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจจากการดำเนินการ QE เพิ่มเติมของ ECB และ BOJ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังมีเม็ดเงินมหาศาลรอเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงถัดไป ขณะที่มูลค่าหุ้นไทยเองก็ยังคงต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในกลุ่ม TIP Region โดยปัจจุบันราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ไทยอยู่ที่ 15.29 เท่าเมื่อเทียบกับระดับ PE ของอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่ 15.56 และ 18.87 เท่า ตามลำดับ ประกอบกับ Downside risk จากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่จำกัดมากขึ้นหลังจากที่ปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา ทำให้ผมมองว่า SET Index ในปี 2558 นี้จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,700 จุด จากปัจจัยสนับสนุนที่กล่าวข้างต้น
ด้วยปัจจัยด้าน QE ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ของตลาดมาในช่วงระยะหนึ่งและมีการดำเนินการตามคาดการณ์ ทำให้กองทุนเปิด วรรณ ยูโรเปี้ยน ฟันด์ 12 (ONE-EURO) สามารถจ่าย Auto Redemption (รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ) เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 58 ที่ผ่านมาอีกประมาณ 3% หลังจากที่จ่าย 3% แรกไปแล้วในช่วงก่อนหน้า โดยครั้งนี้กองทุนฯ มีการจ่าย Auto Redemption ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.3135 บาทต่อหน่วย และกองทุนฯ มีเป้าหมายรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งถัดไปเมื่อ NAV แตะระดับ 10.90 บาทต่อหน่วย และเลิกกองทุนเมื่อ NAV แตะระดับ 11.25 บาทต่อหน่วย
ขณะที่กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทย สามารถจ่ายเงินปันผลจำนวน 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ไซรัส โมเมนตัม ฟันด์ (SYRUS-M) กองทุนเปิด สหธนาคารเอกปันผล 3 (ONE-UB3) กองทุนเปิด วรรณ อิควิตี้ (ONE-EQ) และกองทุนเปิด วรรณเฟล็กซิเบิล (ONE-FLEX) โดยจะปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 26, 27, 28 และ 30 ม.ค. 58 ตามลำดับ และจะจ่ายปันผลในอัตราหน่วยลงทุนละ 2.25 บาท, 1.83 บาท, 2.75 บาท และ 0.543 บาท ตามลำดับ ในวันที่ 19 ก.พ. 58
สำหรับกองทุนรวมประเภท ETF ทาง บลจ.วรรณจะมีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) และกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend อีทีเอฟ (1DIV) โดยจะปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 5 ก.พ. 58 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.314 บาท และ 0.233 บาท โดยมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 23 ก.พ. 58
“สำหรับทิศทางการเสนอขายกองทุนรวมในปีนี้ ยังคงมีแผนที่จะเสนอขายกองทุนรวมอีกหลายกองทุน เนื่องจากมองว่าปีนี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่การลงทุนในหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย อย่างเช่นญี่ปุ่น จีน และไทย รวมทั้งอาจมีโอกาสเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันหลังจากที่มองว่า Downside risk ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัด โดยการเสนอขายจะพิจารณาจังหวะการลงทุนอีกครั้ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมกับภาวะการลงทุนให้แก่นักลงทุนมากที่สุด”