คอลัมน์รวยด้วยรักรวยด้วยหุ้น
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2015 ผมได้มีโอกาสเป็นวิทยากรในงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของ “Money Talk” ในหัวข้อ “ทิศทางหุ้นไทย 2015” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บรรยากาศดีมาก ผู้สนใจนั่งกันเต็มห้องประชุมทุกเก้าอี้ และบริเวณทางเดินรอบๆ รวมถึงห้องขยายด้านนอก
โดยมีวิทยากรร่วมกันคือ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ ผม มนตรี ศรไพศาล และมี ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ คุณเสน่ห์ ศรีสุวรรณ ร่วมเป็นพิธีกร ผมได้มีโอกาสนำเสนอข้อมูลดังนี้
1. ทิศทางเศรษฐกิจมีโอกาสดีขึ้น ผมมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะกำลังเป็น “ขาขึ้น” ปีนี้อาจจะเป็นปีที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 1% แต่ปีหน้าน่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 4% โดยมีเหตุผลสนับสนุน ดังนี้
•ตั้งแต่ต้นปี 2014 เศรษฐกิจไทยอยู่ระหว่างการประท้วงรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้เป็นฐานที่ต่ำ การบริโภคตกต่ำ หนี้ครัวเรือนสูง การท่องเที่ยว 3 ไตรมาสแรกหดหาย การส่งออกตกต่ำ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรทั้งข้าวและยาง การใช้จ่ายภาครัฐติดขัด ด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง ฯลฯ
•แต่น่าจะถือว่า “จุดต่ำสุด” เพิ่งจะผ่านพ้นไป
•ด้านการบริโภคในประเทศ จะดีขึ้นจากฐานปีที่ผ่านมาเป็นฐานต่ำ ผมเองอยากให้ความรู้ว่า ตามตำรา Macro Economics รุ่นใหม่ ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจคือ “การคาดการณ์ การเติบโตทางเศรษฐกิจ” เป็นไปตามหลักพระคำภีร์ที่ว่า “เชื่อ...แล้วจะเห็น” ไม่ใช่ “เห็น...แล้วจึงเชื่อ”
...ถ้าเราเชื่อว่า เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจจะดีตามที่เชื่อ เพราะประชาชนจะยินดีจับจ่าย
...ถ้าเราเชื่อว่า เศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจจะไม่ดีตามที่เชื่อ เพราะประชาชนจะจับจ่ายน้อยลง
ผมอยากชวนประชาชนไทย เราได้พบวิกฤตเศรษฐกิจจนเกิดการประท้วง 2 ครั้ง คือ เมื่อปี 1997 และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาต่อต้นปีนี้ ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้นต้องเป็นความร่วมมือของคนไทยทุกคน ไม่ใช่คาดหวังการฟื้นตัวจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราเห็นว่าจุดต่ำสุดกำลังผ่านไป ร่วมแรงร่วมใจ กล้าจับจ่าย ไทยซื้อไทย ไทยเที่ยวไทย เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแน่นอน
•ด้านการท่องเที่ยว ดูจะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 4 นี้เอง สนามบินเริ่มเต็ม นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยมากมาย
•ด้านการส่งออก อาจมีปัญหาที่ราคาโภคภัณฑ์ตกต่ำ ทั้งราคาข้าว และราคายาง แต่ข้อดีในช่วงปลายปีก็คือ ราคาน้ำมันตกต่ำลง และการนำเข้าน้ำมันก็ควรเป็นมูลค่าที่ลดลงด้วย
•ด้านการใช้จ่ายภาครัฐ ฝืดเคืองมาระยะหนึ่ง อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และการใช้จ่ายตามงบประมาณน่าจะฟื้นกลับมาเป็นปกติมากขึ้น
2. ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ เมย์แบงก์กิมเอ็ง ดังนี้
•เรามีความเห็นในเชิงบวกเล็กน้อยสำหรับตลาดหุ้นปี 2558 คาดผลตอบแทนระหว่าง 0-8% ต่ำกว่าปี 2557 ที่เพิ่มขึ้นถึง 20%
•เรายังคงเป้าหมายของ SET Index ไว้ที่ 1,640 จุด บนสมมติฐาน GDP +4% การคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยปี 2015 EPS15F +14% (สำหรับ EPS14F คาดว่า +2%) โดยประเมินว่าระดับที่ปลอดภัยในการเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดฯผันผวนที่ 1,530 จุด ทั้งนี้ Upside ของตลาดฯ จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความคืบหน้าในการปฏิรูปประเทศ
•จากข้อมูลของ Bloomberg Concensus หากเทียบกับตลาดอื่นๆ PER 2014 (พีอีเรโช บนกำไรปี 2014) อยู่ที่ 16.17 เท่า และ PER 2015 อยู่ที่ 13.78 เท่า โดยมีการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 17.37%
•หากเทียบกับตลาดที่ใกล้เคียงกัน PER 2015 ของฟิลิปปินส์ 17.58 เท่า อินโดนีเซีย 14.72 เท่า และมาเลเซีย 14.99 เท่า ของไทย 13.78 เท่าก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียว
3. ตลาดหุ้นไทย ภาพรวมไม่เป็น “ลูกโป่ง” แต่มีบางหุ้นที่เป็น
•นับจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ตลาดหุ้นไทยยังฟื้นตัวไม่ถึงจุดสูงสุดเดิม 1,789 จุดในวันที่ 4 มกราคม 1994 เลย
•ในยุคนั้น PER ของตลาดบนกำไรข้างหน้าประมาณ 20 เท่า ปัจจุบันประมาณ 14 เท่า
•ในปี 1994 ที่ PER 20 เท่า คือกำไร 1 บาท เราจ่าย 20 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 5% แต่ดอกเบี้ยช่วงนั้นสูงถึง 10%
•ในปี 2014 ที่ PER 14 เท่า คือคิดเป็นผลตอบแทน 1/14 = 7% แต่ดอกเบี้ยช่วงนี้เพียง 1-2% เท่านั้น! จึงไม่มีสภาพลูกโป่งจะแตกแต่อย่างใด
•แต่ในบางหุ้นในตลาด SET และโดยเฉพาะบางหุ้นในตลาด mai ได้มีสภาพเป็นลูกโป่ง จะทำให้ PER เฉลี่ยของตลาด mai สูงถึง 70 เท่า!
•อาการของหุ้นที่ขาดปัจจัยพื้นฐาน บางหุ้นกำไรต่ำมาก ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้อื่น ปีก่อนหน้านี้ 2-3 ปีขาดทุนมาตลอด แต่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสูงเป็นกว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตจากเพียงประมาณ 400 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และประมาณ 100-200 ล้านบาทก่อนหน้านั้น
•ผลกระทบต่อนักลงทุนคือ
... ตอนที่เรายังไม่ลงทุนหุ้นก็ขึ้น
... ยังไม่ลง ก็ลากโชว์ขึ้นไปอีก
... แต่ลงทุนเมื่อไร หุ้นก็ถูกทุบลงไป
เจอนักลงทุนบางคนบอกว่า “ขอบคุณเมย์แบงก์กิมเอ็งที่เตือน แต่วันก่อนเห็นหุ้นขึ้นชนเพดาน วันต่อมาขึ้นอีก พอเข้าไปปั๊บ วันรุ่งขึ้นหุ้นก็ลงเลย”
•หุ้นประเภทนี้ไม่เป็นเรื่องแปลกที่บางวันหุ้นลงถึง 30% วอร์แรนต์ของหุ้นเหล่านี้ บางวันลงถึงกว่า 50%!
•ในสภาวะที่หุ้นมีการปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงในช่วงนี้ นักลงทุนน่าจะ “ทยอยเก็บ”
ดังนั้น สรุปได้ว่าหุ้นไทยยังน่าลงทุน เป้าดัชนีอยู่ที่ประมาณ 1,640 จุด สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เนื่องจากคำแนะนำของเราจะปรับให้ทันสมัยทุกวัน นักลงทุนติดตามได้ที่ www.maybank-ke.co.th ครับ
มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)