บลจ.ยูโอบีมองเศรษฐกิจไทยชะลอ การเมืองเป็นปัจจัยกดดัน คาด กนง.อาจลดดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนจากเรื่อง QE แต่หุ้นไทยในระยะกลางยังน่าสนใจ คาดดัชนีปีนี้แตะ 1,500 จุดได้ พร้อมเปิดขายกองบอนด์ใหม่ 9-14 มกราคมนี้ ให้ผลตอบแทนสูงสุดในอุตสาหกรรม 3.4% ล่อใจนักลงทุน
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการสายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัวในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา จากตัวเลขการผลิตเดือน พ.ย.ที่ลดลงมา เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์มียอดขายลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่หนี้ของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ของจีดีพี รวมไปถึงรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้กระทบต่อการโตของเศรษฐกิจ
โดยมีการปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จากเดิมที่รัฐบาลคาดว่าโตประมาณ 4% ซึ่งสถาบันการเงินต่างๆ คาดว่าจะโตอยู่ที่ประมาณ 3.7-4% จากปัญหาเรื่องการเมือง การใช้จ่ายของภาครัฐฯ ในโครงการ 2 ล้านล้านที่เลื่อนออกไป ซึ่งมีผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชนโดยตรงด้วย ดังนั้น จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงก็มีความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในช่วงระยะใกล้นี้
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น จะมีความผันผวนจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มที่จะถอด QE นักลงทุนจึงมองว่าความสนใจการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางมองว่าตลาดหุ้นยังดีอยู่เพราะราคาไม่แพง P/E ตอนนี้อยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งถึงแม้ว่าการเมืองยังกดดันอยู่ แต่ในระยะกลางถึงยาวยังน่าลงทุน มองว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้จะไปถึงที่ระดับ 1,500 จุดได้
“หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้ ที่น่าสนใจคือหุ้นกลุ่มสื่อสารที่มีการปรับโครงสร้างการลงทุนที่ทำให้ต้นทุนลดลง มีการหารายได้จากช่องทางอื่นๆ ขณะเดียวกันราคาหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในระดับที่ไม่แพง รวมถึงหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะราคาตอนนี้ถือว่าถูก”
ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบีได้เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ กองทุนเปิด UOBFIPP12/13 มีอายุ 12 เดือน ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วแลกเงินธนาคารพาณิชย์ เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ และตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนทั่วไปโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา
โดยจะเปิดเสนอขาย IPO ในระหว่างวันที่ 9-14 มกราคม 2557 ประมาณการผลตอบแทนสูงถึง 3.40% ต่อปี ซึ่งสูงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มกราคม 2557)
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการสายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัวในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา จากตัวเลขการผลิตเดือน พ.ย.ที่ลดลงมา เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์มียอดขายลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่หนี้ของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ของจีดีพี รวมไปถึงรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้กระทบต่อการโตของเศรษฐกิจ
โดยมีการปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จากเดิมที่รัฐบาลคาดว่าโตประมาณ 4% ซึ่งสถาบันการเงินต่างๆ คาดว่าจะโตอยู่ที่ประมาณ 3.7-4% จากปัญหาเรื่องการเมือง การใช้จ่ายของภาครัฐฯ ในโครงการ 2 ล้านล้านที่เลื่อนออกไป ซึ่งมีผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชนโดยตรงด้วย ดังนั้น จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงก็มีความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในช่วงระยะใกล้นี้
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น จะมีความผันผวนจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มที่จะถอด QE นักลงทุนจึงมองว่าความสนใจการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางมองว่าตลาดหุ้นยังดีอยู่เพราะราคาไม่แพง P/E ตอนนี้อยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งถึงแม้ว่าการเมืองยังกดดันอยู่ แต่ในระยะกลางถึงยาวยังน่าลงทุน มองว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้จะไปถึงที่ระดับ 1,500 จุดได้
“หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้ ที่น่าสนใจคือหุ้นกลุ่มสื่อสารที่มีการปรับโครงสร้างการลงทุนที่ทำให้ต้นทุนลดลง มีการหารายได้จากช่องทางอื่นๆ ขณะเดียวกันราคาหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในระดับที่ไม่แพง รวมถึงหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะราคาตอนนี้ถือว่าถูก”
ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบีได้เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ กองทุนเปิด UOBFIPP12/13 มีอายุ 12 เดือน ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วแลกเงินธนาคารพาณิชย์ เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ และตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนทั่วไปโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา
โดยจะเปิดเสนอขาย IPO ในระหว่างวันที่ 9-14 มกราคม 2557 ประมาณการผลตอบแทนสูงถึง 3.40% ต่อปี ซึ่งสูงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มกราคม 2557)