บลจ.ยูโอบีให้น้ำหนักตลาดประเทศพัฒนาแล้ว มองตลาดหุ้นไทยยังเติบโต แต่มีปัจจัยต่างประเทศเรื่องสหรัฐฯ กดดันบ้าง
นาวสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 22,000 ล้านบาท โดยกองทุนรวมมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 ล้านบาท (5%) ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนกองทุนส่วนบุคคลมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 10% เช่นเดียวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งล่าสุดได้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังเน้นการเติบโตของกองทุนโดยให้ความรุ้เกี่ยวกับการลงทุนแก่ลูกค้ามากขึ้น โดยมีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนต่างๆ ทั้งธนาคารยูโอบี ธนาคารทหารไทย ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้ารายย่อย
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มองว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในขณะนี้คือโอกาสในการถอนปริมาณวงเงิน QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ซึ่งส่งผลให้มีเงินส่วนหนึ่งไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีทางออกอย่างไร ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีตลาดทุนไทยจะได้อานิสงส์จากเงินไหลเข้าส่วนหนึ่ง จากกองทุนประหยัดภาษีอย่าง LTF และ RMF
สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตลงทุน ผู้จัดการกองทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) แนะนำว่าในช่วงสั้นๆ นักลงทุนอาจจะยังไม่ต้องปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุนมากนัก เนื่องจากมองว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีเฟดจะยังคงปริมาณ QE เอาไว้ จากการส่งสัญญาณของว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ที่ย้ำว่าจะรอให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอติดตามความชัดเจนอีกครั้งในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งหากมีความชัดเจนมากขึ้น การจัดสรรพอร์ตไปลงทุนในหุ้นในตลาดประเทศพัฒนาแล้วน่าจะเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี จากเงินที่จะไหลกลับไปยังประเทศเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองมองว่ายังน่าสนใจ จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้ดี ซึ่งนักลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนได้ เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร
“เศรษฐกิจโลกในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 1-2% อย่างไรก็ตาม ตลาดประเทศพัฒนาแล้วมีความน่าสนใจ จึงแนะให้น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่น ส่วนตลาดไทยยังมีการเติบโตได้จากการท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศ แม้ว่าจะมีปัจจัยในประเทศกดดันบ้าง”