บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ตั้งเป้าเติบโตอันดับที่ 5 ในอุตสาหกรรม หลังควบรวม บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) พร้อมเป็นกองทุนชั้นนำในภูมิภาค แนะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ให้น้ำหนักประเทศพัฒนาแล้ว คาดหุ้นไทยปีนี้ 1,460-1,650 จุด
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เดิมคือ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ดำเนินการควบรวมธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด โดยการควบรวมธุรกิจในครั้งนี้ทำให้ บลจ.ยูโอบีก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 6 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการจากการควบรวมแล้วกว่า 2 แสนล้านบาท (ณ พ.ค. 56)
โดยการควบรวมดังกล่าวทำให้บริษัทมีความมั่นคงและมีสัดส่วนทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น และยังมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการธุรกิจกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจกองทุนรวมหลังจากการควบรวมแล้วอยู่ที่ 109,337.8 ล้านบาท มีส่วนแบ่งในตลาดคิดเป็น 3.84% กองทุนส่วนบุคคลหลังจากการควบรวมแล้วอยู่ที่ 46,845.27 ล้านบาท มีส่วนแบ่งในตลาดคิดเป็น 13.61% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 64,331.18 ล้านบาท คิดเป็น 8.70% พร้อมตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับที่ 5 ในอุตสาหกรรมในอีก 3 ปีข้างหน้า
“การเปลี่ยนแปลงทางด้านการลงทุนนั้น บลจ.ยูโอบียังคงยึดแนวทางการลงทุนเดิมคือการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี การให้ผลตอบแทนที่ดี และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ขณะเดียวกันยังมีบริษัทในกลุ่มภูมิภาคเอเชียที่ให้การสนับสนุนด้วย” นายวนากล่าว
นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายพัฒนาธุรกิจ กล่าวถึงแผนการตลาดหลังจากการควบรวมธุรกิจว่า หลังจากการควบรวมแล้วส่งผลให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ทั้งลูกค้าสถาบัน และลูกค้าบุคคล รวมทั้งมีช่องทางการตลาดจากพัมธมิตรใหม่ และทำให้ผลิตภัณฑ์การลงทุนมีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ตอนนี้บริษัทมีความพร้อมในเรื่องของการลงทุน และมีแผนเชื่อมโยงธุรกิจเครือข่ายในระดับภูมิภาคเพื่อนำไปสู่การเป็นบริษัทจัดการลงทุนชั้นนำในภูมิภาค และให้เข้ามาลงทุนในไทย รวมทั้งแผนการออกกองทุนสำหรับนักลงทุนเฉพาะกลุ่มเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน
สำหรับในปัจจุบันมีลูกค้าประเภทสถาบันและลูกค้าบุคคลจำนวนประเภทละ 1 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นกองทุนส่วนบุคคลประมาณ 46,000 ล้านบาท และเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพประมาณ 64,000 ล้านบาท มีทั้งลูกค้าที่เป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชนขนาดใหญ่
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง กรรการผู้จัดการสายการลงทุน กล่าวถึงภาพรวมของการลงทุนว่า บลจ.ยูโอบียังคงมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นไทยเหมือนเดิม เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะมีการเทขายหุ้นออกไปจำนวนมาก ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวจากตัวเลขการว่างงานที่ลดลง ดังนั้น นักลงทุนจึงมีการเทขายทำกำไรออกจากตลาดเอเชียและไทยเพื่อปรับพอร์ตการลงทุน โดยคาดว่า ดัชนีตลาดไทยในปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,460-1,650 จุด ระดับ P/E ที่ 15 เท่า และมองการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ 21.9% อัตราการจ่ายปันผล 4%
“ดังนั้นจึงยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นหุ้นไทยประมาณ 50% หุ้นต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ประมาณ 30% และที่เหลือเป็นสินทรัพย์ทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ” นายกรวุฒิกล่าว