อุตสาหกรรมกองทุนรวมครึ่งปีแรกโต 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 6.3% ชี้เศรษฐกิจโลกแม้ดีขึ้นแต่ยังผันผวน แนะเลือกหุ้นหาจังหวะและลงทุนในระยะยาว หุ้นไทยยังน่าสนใจ กลุ่มพลังงาน แบงก์ เคมีคัล
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2546 อุตสาหกรรมกองทุนรวมมีขนาดของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งระบบอยู่ที่ 6.8 ล้านบาท และในปัจจุบัน ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 56 มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 408 (เพิ่มขึ้น 6.3% ตั้งแต่ต้นปี 2556) ขณะเดียวกันบัญชีผู้ถือหน่วยลงทุนจาก 628,000 บัญชี เพิ่มเป็น 3.5 ล้านบัญชี หรือกว่าร้อยละ 405 และในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบนโยบายการลงทุนเพิ่มขึ้น 1,400 กองทุน ดังนั้นกองทุนรวมเป็นทางเลือกสำคัญในการบริหารเงินออมของคนไทย
โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว สัดส่วนของคนไทยที่ใช้กองทุนรวม หรือสัดส่วนของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมเมื่อเทียบกับฐานเงินฝาก หรือ GDP ยังอยู่ในระดับที่สามารถพัฒนาและเติบโตขึ้นได้
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 แม้จะเกิดปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเพราะมองการลงทุนในระยะยาวขึ้น จึงเชื่อว่าการลงทุนในกองทุนรวมยังมีต่อไปทั้งการลงทุนในประเทศ และต่างประเทศ
นายสมจินต์ยังกล่าวถึงการลงทุนว่า การกำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน และการจัดทัพลงทุนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Purpose-Driven Investment) เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน และการกระจายลดความเสี่ยงจากการลงทุน โดยการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวขึ้นชัดเจน หากมีการยกเลิก QE ก็เป็นผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะยาว
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. วรรณ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมีผลต่อการลงทุน นักลงทุนจึงควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และควรลงทุนระยะยาว โดยมองว่าการลงทุนในขณะนี้ทั่วโลกมีความผันผวน เพราะที่ผ่านมามีเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ระบบ และเงินเหล่านั้นจะต้องไหลกลับ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นแต่ก็ยังมีความผันผวน นักลงทุนจึงต้องรอดูจังหวะการลงทุนและคัดสรรการลงทุนอย่างดี และใช้ความระมัดระวัง
“ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน เพราะบริษัทจดทะเบียนยังมีผลประกอบการที่ดี ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแต่อย่างใด โดยหุ้นพลังงาน แบงก์ เคมีคัลเริ่มกลับมามีความน่าสนใจ และมองดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ 1,640 จุด ซึ่งน่าจะเห็นระดับนี้ในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4” นายวินกล่าว
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2546 อุตสาหกรรมกองทุนรวมมีขนาดของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งระบบอยู่ที่ 6.8 ล้านบาท และในปัจจุบัน ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 56 มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 408 (เพิ่มขึ้น 6.3% ตั้งแต่ต้นปี 2556) ขณะเดียวกันบัญชีผู้ถือหน่วยลงทุนจาก 628,000 บัญชี เพิ่มเป็น 3.5 ล้านบัญชี หรือกว่าร้อยละ 405 และในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบนโยบายการลงทุนเพิ่มขึ้น 1,400 กองทุน ดังนั้นกองทุนรวมเป็นทางเลือกสำคัญในการบริหารเงินออมของคนไทย
โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว สัดส่วนของคนไทยที่ใช้กองทุนรวม หรือสัดส่วนของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมเมื่อเทียบกับฐานเงินฝาก หรือ GDP ยังอยู่ในระดับที่สามารถพัฒนาและเติบโตขึ้นได้
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 แม้จะเกิดปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเพราะมองการลงทุนในระยะยาวขึ้น จึงเชื่อว่าการลงทุนในกองทุนรวมยังมีต่อไปทั้งการลงทุนในประเทศ และต่างประเทศ
นายสมจินต์ยังกล่าวถึงการลงทุนว่า การกำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน และการจัดทัพลงทุนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Purpose-Driven Investment) เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน และการกระจายลดความเสี่ยงจากการลงทุน โดยการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวขึ้นชัดเจน หากมีการยกเลิก QE ก็เป็นผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะยาว
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. วรรณ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมีผลต่อการลงทุน นักลงทุนจึงควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และควรลงทุนระยะยาว โดยมองว่าการลงทุนในขณะนี้ทั่วโลกมีความผันผวน เพราะที่ผ่านมามีเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ระบบ และเงินเหล่านั้นจะต้องไหลกลับ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นแต่ก็ยังมีความผันผวน นักลงทุนจึงต้องรอดูจังหวะการลงทุนและคัดสรรการลงทุนอย่างดี และใช้ความระมัดระวัง
“ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน เพราะบริษัทจดทะเบียนยังมีผลประกอบการที่ดี ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแต่อย่างใด โดยหุ้นพลังงาน แบงก์ เคมีคัลเริ่มกลับมามีความน่าสนใจ และมองดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ 1,640 จุด ซึ่งน่าจะเห็นระดับนี้ในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4” นายวินกล่าว