มองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้น่าลงทุนหลังมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ชี้ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและเอเชีย ชี้พื้นฐานไทยยังแกร่ง เงินทุนสำรองยังสูง ไม่น่าห่วงแม้ต่างชาติทิ้งตลาดบอนด์
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า โดยภาพรวมของเศรษฐกิจหลักของโลกส่วนใหญ่ยังคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเอาไว้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งยูโรโซน จะมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ส่งสัญญาณจะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC)ประเมินว่าตัวเลขอัตราการว่างงานจะปรับตัวลดลงเหลือ 6.5-6.8% ในสิ้นปี 2014 ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี 3.0-3.5% ในสิ้นปี 2014 เป็นที่มาของการชะลอการใช้มาตรการ QE ลงแต่ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำที่ 0.25% เอาไว้ต่อเนื่อง เพราะสหรัฐฯ เองไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำจึงทำให้ยังคงรักษาดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปได้ ซึ่งจากการประเมินทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของทาง FOMC ล่าสุดพบว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ น่าจะขยับขึ้นในปี 2015 โดยน่าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.0% บวกลบ และหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะปกติพบว่าอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมที่ทาง FOMC มองไว้ควรจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.0% บวกลบ ดังนั้นในระยะ 3-4 ปีจากนี้แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ คงอยู่ในทิศทางขาขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติในอดีตที่ผ่านมาพบว่าอัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ดังนั้นเส้นอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มที่จะชันขึ้นหลังจากนี้ได้ก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง และปกติอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยเองก็จะเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันแต่ในทิศทางที่น้อยกว่า
“ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือตราสารหนี้ไทยประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สมมติกรณีที่นักลงทุนต่างชาติจะขายตราสารหนี้ไทยทิ้งทั้งหมดในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับแรงขายนั้นได้โดยไม่กระทบมากแต่ประการใดเพราะไทยมีทุนสำรองในปัจจุบันสูงมากประมาณ 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่ไม่ติดลบ หนี้ต่างประเทศก็ไม่มาก ระบบอัตราแลกเปลี่ยนก็ปรับตัวได้ ไม่เหมือนปี 97 ดังนั้นในแง่พื้นฐานรองรับได้ไม่มีปัญหาอะไร”
นายพงค์ธารินยังกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจของตลาดพัฒนาแล้วมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้นในปีหน้าชัดเจนจากที่โตในปีนี้ประมาณ 1.0% จะเพิ่มเป็น 1.9% หรือโตขึ้นกว่าเท่าตัว ในขณะที่เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่แม้จะยังเติบโตในระดับที่สูงแต่อัตราการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตอาจไม่มากนักจากในปีนี้ที่คาดว่าจะโต 4.9% เพิ่มเป็น 5.5% ในปี 2014 ทำให้ภาพของตลาดพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯ มีความน่าสนใจมากขึ้นเพราะมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจน ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเองบริษัทมีการปรับประมาณการเติบโตลงเหลือ 4.3-4.8% มีอัตราเงินเฟ้อ 2.3-2.8% และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ที่ 2.5% เพราะการเติบโตไตรมาสนี้เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าลดลง 2.2% อ่อนกว่าที่คาดไว้ จากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ต่ำทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถจะรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเอาไว้ได้ และหากเศรษฐกิจอ่อนตัวกว่าคาดก็สามารถลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะปรับตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 14
ดังนั้น ในระยะสั้น 6-10 เดือนข้างหน้าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มแข็งค่า โอกาสที่จะเห็นเงินบาทกลับขึ้นไปแข็งค่าที่ระดับ 28-29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐคงยาก น่าจะอยู่ในระดับปัจจุบันต่อไปได้เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จะมีตัวเลขที่ยังดูไม่ดีนักก็คือภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า ปัจจุบันเงินทุนต่างชาติที่ซื้อมาในตลาดหุ้นไทยในปี 2012 ประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็ได้ขายออกไปจนหมดแล้วในปีนี้ และยังมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัดส่วนประมาณ 20-25% ของเศรษฐกิจโลกเมื่อมีสัญญาณฟื้นตัวก็น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม บริษัทมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ เพราะแม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นมามากแล้วแต่ถ้ามองในแง่ของสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ของตลาดในอดีตก็ยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยในอดีตถือว่าไม่แพง บริษัทจดทะเบียนก็แข็งแกร่งขึ้น มีเงินสดมากขึ้น ในขณะที่มีหนี้น้อย จึงมองเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุน