xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นตลาดพัฒนาแล้วมาแรง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.แอสแซทพลัสมองตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมาแรงทั้งสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น เหตุเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวรอความแข็งแกร่ง แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเน้นหุ้นตลาดพัฒนาแล้ว คาดโอกาสเติบโตมีอยู่สูง

นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด กล่าวว่า การส่งสัญญาณการลดวงเงินอัดฉีดผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ จากเดิมซื้อพันธบัตรรัฐบาลเดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะเหลือ 6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน ทำให้ยังมีใหม่เข้ามาในระบบ อย่างไรก็ตามรอบนี้เป็นการถอนคันเร่งของเฟด ที่ผ่านมากดคันเร่งผ่าน QE มาตลอด รอบนี้ผ่อนคันเร่งคนก็กังวลว่าจะไปแตะเบรกเมื่อไหร่ ถ้าจบ QE กลางปี 2014 ตลาดคาดการณ์แล้วว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกช่วงประมาณต้นปีถึงกลางปี 2015 ซึ่งตลาดมองว่าครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนที่สุด เป็นการเริ่มต้นของการจบ QE เฟด QE มีตั้งแต่ปี2008 ซึ่งตอนนี้ก็ 5 ปีแล้ว

นอกจากนี้ การส่งสัญญาณของเฟดทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3.2% กว่า พอผลตอบแทนขึ้นทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ แข็งเพราะนักลงทุนกลับมาลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลงไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลต่อตลาดแลกเปลี่ยนไปทั่ว ทั้งนี้ มุมมองของเฟดต่อการฟื้นตัวของสหรัฐฯ เป็นไปในทางบวกมากขึ้น โอกาสและความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นขาลงนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เฟดมองว่าจีดีพีของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.4% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้แค่ 1.9% รวมทั้งคาดการณ์ตัวเลขการว่างงานสิ้นปีนี้อยู่ที่ 7.25% และสิ้นปี 2557 อยู่ที่ 6.5% ซึ่งหากแตะระดับ 6.5% คิวอีก็จะจบอยู่ตรงนั้น

สำหรับค่าเงิน USD คงจะมีการแข็งค่าขึ้นในช่วงสั้นๆ หากเทียบกับยูโรไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากเทียบในฝั่งเอเชียไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย เยนญี่ปุ่นนั้นอ่อนไปประมาณ 10% ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลกระทบต่อราคาทอง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลง แต่เราประเมินว่าราคายังไม่มี upside หรือมีแต่ไม่มาก ระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นอะไร กรอบที่เรามองไว้ 1,300-1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนน้ำมันนั้นเรามองว่าดีมานด์โกรทนั้นมาจากความต้องการใช้น้ำมัน ณ วันนี้ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี ก็ทำให้ราคาปรับตัวขึ้น

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียใต้นั้นมีความน่าสนใจลดลง เนื่องจากเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาก็จะลดลงไป ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาคนี้พร้อมใจกันลดดอกเบี้ยลง แต่ ณ ตอนนี้ก็เริ่มส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เช่น อินโดนีเซีย ที่มีปัจจัยเรื่องราคาพลังงานทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเราประเมินว่าอาจจะไม่เห็นการปรับขึ้นและปรับลงดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้ ซึ่งอาจจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีหน้า

ทางด้านเศรษฐกิจจีนนั้น ไตรมาสแรก 7.7% ซึ่งไตรมาส 2-4 หากรัฐบาลไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจคาดว่าจะลงไปต่ำกว่า 7.5% แต่ทั้งปีเรามองไว้ที่ 7.5% แต่ในส่วนของตลาดหุ้นนั้นอาจจะยังไม่ปรับตัวขึ้นหากรัฐบาลไม่ส่งสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาหุ้นจีนราคาถูก มีจุดเปราะบางเช่นกัน โดยต้นปีที่ผ่านมาช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจนักลงทุนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ปรากฏว่ารัฐบาลชุดนี้มีความอดทนสูงยอมที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่าเน้นการเติบโต

อย่างไรก็ตาม หากโกรท (growth) ลงมาต่ำนักลงทุนก็คาดหวังว่ารัฐบาลจีนอาจจะมีมาตรการอะไรออกมา ซึ่งรัฐบาลจีนนั้นมีทั้งเงิน มีเครื่องมือ แต่ก็ยังไม่เห็นไม่ได้ทำอะไร ซึ่งตรงข้ามกับญี่ปุ่นที่เครื่องมือน้อยแต่ก็ต้องทำผลปรากฏออกมาว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้น ราคาหุ้นก็สามารถไปต่อได้

“ที่ผ่านมาราคาหุ้นจีนถูกมาประมาณ 2 ปีแล้ว หากจะเข้าไปลงทุนนั้นไม่ใช่แค่เรื่องปัจจัยเศรษฐกิจ ต้องดูเรื่องของนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก หากจะลงทุนนั้นคงจะต้องมีความอดทน”

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองนั้นคงต้องดูบริษัทจดทะเบียนที่มีการเติบโตจริงๆ มีปัจจัยเฉพาะกลุ่ม เช่นกลุ่มสื่อสารก็มีปัจจัยหนึ่งที่มีการเติบโต ด้านผลตอบแทนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วหากสภาพคล่องหายไป แต่จุดของเงินปันผลจะเป็นจุดหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวนักลงทุนเช่นกัน นอกจากนี้จะเน้นกลุ่มราคาที่ยังไม่ปรับขึ้น และต้องเจาะลึกเป็นรายตัวอีกด้วย

“ในระยะสั้นจะต้องรีบาลานซ์พอร์ต เทรนด์ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (developed markets) เริ่มกลับมา ตัวเลขเศรษฐกิจก็ออกมาดี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป เช่น เยอรมนี และญี่ปุ่น ส่วนตลาดเกิดใหม่นั้นเรามองว่าความน่าสนใจของฟันด์โฟลว์จะน้อยลง”
กำลังโหลดความคิดเห็น