แม้ว่าในช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับฐานลงมา โดยเฉพาะในตลาดหุ้นบ้านเราที่มีแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก หลังจากที่นักลงทุนเองมั่นใจธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ออกมาพูดถึงความเป็นไปได้ในการหยุดซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าซื้อพันธบัตรจำนวนมากอย่างต่อเนื่องทุกๆ เดือนส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับต่ำ และหากหยุดซื้อก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนต่ำมาตลอด ดังนั้นจึงทำให้พันธบัตรสหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจขึ้น นักลงทุนจึงเกิดการปรับพอร์ตการลงทุนและเทขายหุ้นออกมา แต่มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่น่าจะยกเลิกมาตรการ QE เพราะยังเร็วเกินไป
แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงภาวะเศรษฐกิจหุ้นผันผวนแบบนี้นักลงทุนหลายรายต่างมองเป็นโอกาสในการได้ช้อนซื้อของถูกก็เป็นได้ ขณะที่ บลจ.ต่างๆ ได้ใช้จังหวะในช่วงนี้เปิดทางเลือกให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีกับกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่ช่วงนี้จะเห็นหลายๆ บลจ.ต่างตบเท้าเข็นออกมาให้นักลงทุนได้เลือกสรรกันเป็นว่าเล่น แถมชูผลตอบแทนกันอย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกันยังมีบาง บลจ.ที่ออกกองทุนตราสารหนี้ออกมาเพื่อให้นักลทุนได้ใช้เป็นที่พักเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เริ่มกันที่** “กองทุนเปิดบัวหลวงทริกเกอร์ 15%”** (ทริปเปิล 5) หรือ TRIGGER555 เปิดขายระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน-2 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบผสมนโยบายการลงทุนของกองทุนทริปเปิล 5 เป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุน และคาดหวังผลตอบแทนจากการหาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นในประเทศให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 15% ภายใน 18 เดือนตามอายุโครงการ นับจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สิน หรือสามารถเลิกกองทุนได้ก่อนหากบริหารได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายไม่น้อยกว่า 15%
จุดเด่นของกองทุน จะเฟ้นหาโอกาสทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นเมื่อตลาดผันผวน ไร้ทิศทางขึ้นหรือลงที่ชัดเจน ทั้งมองหาหุ้นดีที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงจากส่วนต่างของราคา โดยเน้นจับจังหวะซื้อและขายเพื่อทำกำไร ขณะเดียวกัน 18 เดือนเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับทำกำไรจากหุ้นที่มีพื้นฐานและโอกาสทางธุรกิจที่เหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อกองทุนบริหารและมีกำไรจะทำการทยอยคืนผลตอบแทนด้วยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ซึ่งใน 2 ครั้งแรกอยู่ที่ประมาณ 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ และในครั้งสุดท้ายในอัตราไม่น้อยกว่า 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ และปิดกองทุนเพื่อทำการคืนเงินลงทุน
ขณะที่ บลจ.กสิกรไทยขายกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิล อิควิตี้ ทริกเกอร์ 2 โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เน้นการลงทุนหุ้นในประเทศที่มีพื้นฐานดี โดยกองทุนมีเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนอยู่ที่ 7% ภายในระยะเวลา 1 ปี พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรับผลตอบแทน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.35 บาทต่อหน่วย หรือเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 3.5% และครั้งที่ 2 จะรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.70 บาท
ด้าน บลจ.กรุงไทยขาย 2 กองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 36 (KTFF35) มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท อายุ 12 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝากประจำ Bank of China, เงินฝากประจำ Bank Danamon, ECP ค้ำประกันโดย VTB Bank และ MTN ออกโดย Bladex ในสัดส่วน 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภทเงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ หุ้นกู้/ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี
ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน 3 (KTSIV6M3) เป็นกองทุนประเภท Roll Over อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วแลกเงินของธนาคารเกียรตินาคิน และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.65% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงภาวะเศรษฐกิจหุ้นผันผวนแบบนี้นักลงทุนหลายรายต่างมองเป็นโอกาสในการได้ช้อนซื้อของถูกก็เป็นได้ ขณะที่ บลจ.ต่างๆ ได้ใช้จังหวะในช่วงนี้เปิดทางเลือกให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีกับกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่ช่วงนี้จะเห็นหลายๆ บลจ.ต่างตบเท้าเข็นออกมาให้นักลงทุนได้เลือกสรรกันเป็นว่าเล่น แถมชูผลตอบแทนกันอย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกันยังมีบาง บลจ.ที่ออกกองทุนตราสารหนี้ออกมาเพื่อให้นักลทุนได้ใช้เป็นที่พักเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เริ่มกันที่** “กองทุนเปิดบัวหลวงทริกเกอร์ 15%”** (ทริปเปิล 5) หรือ TRIGGER555 เปิดขายระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน-2 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบผสมนโยบายการลงทุนของกองทุนทริปเปิล 5 เป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุน และคาดหวังผลตอบแทนจากการหาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นในประเทศให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 15% ภายใน 18 เดือนตามอายุโครงการ นับจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สิน หรือสามารถเลิกกองทุนได้ก่อนหากบริหารได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายไม่น้อยกว่า 15%
จุดเด่นของกองทุน จะเฟ้นหาโอกาสทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นเมื่อตลาดผันผวน ไร้ทิศทางขึ้นหรือลงที่ชัดเจน ทั้งมองหาหุ้นดีที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงจากส่วนต่างของราคา โดยเน้นจับจังหวะซื้อและขายเพื่อทำกำไร ขณะเดียวกัน 18 เดือนเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับทำกำไรจากหุ้นที่มีพื้นฐานและโอกาสทางธุรกิจที่เหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อกองทุนบริหารและมีกำไรจะทำการทยอยคืนผลตอบแทนด้วยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ซึ่งใน 2 ครั้งแรกอยู่ที่ประมาณ 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ และในครั้งสุดท้ายในอัตราไม่น้อยกว่า 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ และปิดกองทุนเพื่อทำการคืนเงินลงทุน
ขณะที่ บลจ.กสิกรไทยขายกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิล อิควิตี้ ทริกเกอร์ 2 โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เน้นการลงทุนหุ้นในประเทศที่มีพื้นฐานดี โดยกองทุนมีเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนอยู่ที่ 7% ภายในระยะเวลา 1 ปี พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรับผลตอบแทน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.35 บาทต่อหน่วย หรือเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 3.5% และครั้งที่ 2 จะรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.70 บาท
ด้าน บลจ.กรุงไทยขาย 2 กองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 36 (KTFF35) มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท อายุ 12 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝากประจำ Bank of China, เงินฝากประจำ Bank Danamon, ECP ค้ำประกันโดย VTB Bank และ MTN ออกโดย Bladex ในสัดส่วน 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภทเงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ หุ้นกู้/ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี
ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน 3 (KTSIV6M3) เป็นกองทุนประเภท Roll Over อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วแลกเงินของธนาคารเกียรตินาคิน และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.65% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี