บลจ.กสิกรไทยประเมินตลาดหุ้นจีนยังแกร่ง หลังเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวต่อเนื่อง คาดจะโตเพิ่มอีก 7-8% ขณะที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียเหนือ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกงเพิ่้มขึ้น
นายอาทิตย์ ทองเจริญ ผู้บริหารงานจัดหาผลิตภัณฑ์พิเศษ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ตลาดหุ้นจีนแม้จะต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จนตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงรุนแรงในไตรมาส 2 และ 3 ของปีที่ผ่านมา แต่หากมองการเติบโตตลอดทั้งปี 2555 จะเห็นได้ว่าดัชนีหุ้นจีน H-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในฮ่องกงมีการปรับตัวขึ้นไปได้กว่า 15%
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนนับตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เศรษฐกิจจีนได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาส 4 ที่สามารถขยายตัวได้ถึง 7.90% หรือจะเป็นตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิต ซึ่งชี้วัดความเชื่อมั่นภาคการผลิต หลังจากที่ปรับตัวลดลงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ก็สามารถกลับมายืนเหนือระดับ 50 จุด ซึ่งแสดงถึงภาวะการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในจีนเช่นกัน เช่นเดียวกับภาคบริการที่ดัชนีความเชื่อมั่นมีแนวโน้มดีขึ้นเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างก็คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 7-8% ซึ่งแม้ว่าจะน้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็เป็นไปตามที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้และจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดอีกด้วย
นอกจากนี้ ผลจากความกังวลต่างๆ ที่คลี่คลายลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีน หรือดัชนี H-Share นับตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นมาสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีได้ในช่วงเดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี แม้จะปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้วในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาในเรื่องระดับราคา ก็จะพบได้ว่าราคาหุ้นจีนในปัจจุบันยังคงมีระดับราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ
โดยดัชนีหุ้น H-Share ซึ่งเป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในประเทศฮ่องกง มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ประมาณ 10 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ประมาณ 15 เท่า ในขณะที่ระดับราคาหุ้นของดัชนี A-Share ซึ่งเป็นหุ้นจดทะเบียนซื้อขายในจีนแผ่นดินใหญ่เองก็มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 25 เท่า ส่งผลให้นักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้มีการปรับระดับความน่าสนใจของตลาดหุ้นจีน จากให้น้ำหนักการลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน หรือให้น้ำหนักการลงทุนเป็นปกติเท่าเกณฑ์มาตรฐาน มาสู่ระดับให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจคือเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ในปีที่ผ่านมาเม็ดเงินจากต่างชาติให้น้ำหนักและไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่อนข้างมาก ส่งผลให้หุ้นในภูมิภาคดังกล่าวปรับตัวดีในปีที่ผ่านมาไปแล้วข้างต้น แต่จากระดับราคาที่ปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก ทำให้มีการประเมินว่าในปีนี้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะเริ่มไหลเข้าภูมิภาคเอเชียเหนือ เช่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคดังกล่าว รวมถึงจีนน่าจะเป็นปีที่สดใส