โบรกฯ เผยผลการโรดโชว์นักลงทุนที่สิงคโปร์ ระบุ ต่างชาติมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน พร้อมให้น้ำหนักความสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากตลาดหุ้นจีน เผยเป้าต่างชาติใส่เม็ดเงินในตลาดหุ้น 2 แสนล้าน โดยเข้ามาซื้อไปแล้ว 1 แสนล้าน ส่วนการกำราบหุ้นเก็งกำไรอาจทำให้มีการพักฐานชั่วคราว แต่เป็นเรื่องดีเพราะจะสร้างความมั่นใจให้ตลาดหุ้น
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีไอเอ็มบี ประเทศไทย เปิดเผยถึงการเดินทางไปโรดโชว์นักลงทุนสิงคโปร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่วนใหญ่เพิ่มน้ำหนักลงทุน (Overweight) ในตลาดหุ้นไทยมากเป็นอับ 2 ในภูมิภาค รองจากตลาดหุ้นจีน จากภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการเมืองที่มีสเถียรภาพ
“เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคไทยน่าสนใจมากในสายตานักลงทุนชาติ จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ดีกว่า ปีที่ผ่านมา กำไร บจ.โต 21% ประเมินว่าปีนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่องในระดับ 16% สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน จึงคาดว่าเม็ดเงินยังคงไหลเข้าต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ ประเมินว่าการไหลข้าวของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในปีนี้ มีโอกาสจะสูงเกิน 1 แสนล้านบาท หรือมากกว่าปี 2548 ที่เม็ดเงินต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.15 แสนล้านบาท เฉพาะช่วง 20 วันของเดือนนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบัน ต่างชาติถือครองหุ้นไทยอยู่ 36% จากที่เคยสูงถึง 38% เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา หากจะให้ถึงระดับนั้นต่างชาติจะต้องซื้อหุ้นไทยอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้าดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,500 จุด ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ที่ระดับ 11.5 เท่า มองว่ามีโอกาสที่จะทะลุเป้าหมายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะมีการเติบโตดีคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มที่อิงตลาดในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก อุปโภคบริโภค เป็นต้น
ส่วนการส่งสัญญาณเตือนการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ อาจจะทำให้ตลาดปรับฐานลงบ้างชั่วคราว ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องดีในการสร้างความมั่นใจให้ตลาด โดยเรื่องนี้ไม่ส่งผลต่อบริษัท เพราะบริษัทแนะนำเฉพาะหุ้นพื้นฐาน โดยหุ้นสำหรับสถาบัน 60 ตัว และรายย่อย 40 ตัว
ส่วนการสุ่มตรวจโบรกเกอร์เป็นเรื่องปกติ ที่ตลาดและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะสุ่มตรวจ แต่โดยส่วนใหญ่จะแจ้งล่วงหน้า ยกเว้นจะมีประเด็นที่อยากรู้เป็นพิเศษ จะเข้าไปตรวจโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
