บล. ซีไอเอ็มบี หวังปีนี้มาร์เกตแชร์ 5% ติดอันดับ 1 ใน 5 เล็งเพิ่มมาร์เกตติ้งอีก 60 คน ขยายสาขา 6 สาขา ดันบัญชีเทรดหุ้นเพิ่มอีก 10% จากปีก่อนที่มี 4 หมื่นบัญชี พร้อมเพิ่มวงเงินพอร์ตเทรดหุ้นอีก ยันบริษัทมีมาตรการดูแลลูกค้าที่ดีเรื่องการปล่อยมาร์จิ้นโลน คุมปีนี้ปล่อยไม่เกิน 2 พันล้านบาท
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเป็น บล.ติดอันดับ 1 ใน 5 ที่มีมาร์เกตแชร์ในปีนี้ จากสิ้นปีก่อนที่อยู่อันดับ 10 คาดว่า ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ 5% จากปีก่อน 4% เนื่องจากบริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งลูกค้ารายย่อย ลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ งานวาณิชธกิจ และการออกสินค้าใหม่ๆ
โดยปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มบัญชีซื้อขายหุ้นปีนี้อีก 10% จากปีก่อนที่มีบัญชีซื้อขายอยู่ที่ 40,000 บัญชี พร้อมกับการเพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) อีก 50-60 คน จากปัจจุบันที่มี 300 คน และบริษัทมีแผนขยายสาขาอีก 6 สาขาในปีนี้ จากเดิมที่มี 20 สาขา แผนการขยายฐานนักลงทุนสถาบันนั้น บริษัทมีจุดแข็งในเรื่องงานวิจัยที่มีคุณภาพซึ่งนักวิเคราะห์ของบริษัทได้รับรางวัลจากนิตยสารเอเชียมันนี่ และจากที่บริษัทมีเครือขายของกลุ่มซีไอเอ็มบี
ล่าสุด ได้มีการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์ของ Royal Bank of Scotland หรือ RBS ที่สามารถเข้าไปให้บริการกองทุนขนาดใหญ่ๆ ในภูมิภาค และจากที่กลุ่มบริษัทมีดีลไอพีโอทั้งในและต่างประเทศ คาดปีนี้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยจะอยู่ที่ 60-65% ขณะที่นักลงทุนสถาบันใน และต่างประเทศจะอยู่ที่ 35-40% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม
“บริษัทได้ควบรมกับ บล.ซิกโก้เสร็จช่วงปลายเดือน พ.ย.55 แล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งมีแผนขยายนักลงทุนสถาบัน ส่วนงานไอบีปีนี้มีต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยดีลได้”
นายสุชาย กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีพอร์ตการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ 800-900 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตซื้อขายระยะสั้น ใช้ลงทุนไปแล้ว 60-70% โดยปีนี้จะเพิ่มพนักงานที่ดูแลพอร์ตการซื้อขายอีก และอาจเพิ่มวงเงินซื้อขายได้อีก โดยบริษัทคาดผลตอบแทนการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 12-15% ใกล้เคียงปีก่อน ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) 1,300 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น แต่บริษัทมีเกณฑ์ในการควบคุมดูแลแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้นพื้นฐาน และแนะนำให้มีการถือหุ้นระยะสั้นไม่ควรถือยาว หากต้องการถือยาวจะแนะนำให้ซื้อในบัญชีเงินสดแทน โดยบริษัทจะมีการปล่อยมาร์จิ้นไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
***********
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเป็น บล.ติดอันดับ 1 ใน 5 ที่มีมาร์เกตแชร์ในปีนี้ จากสิ้นปีก่อนที่อยู่อันดับ 10 คาดว่า ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ 5% จากปีก่อน 4% เนื่องจากบริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งลูกค้ารายย่อย ลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ งานวาณิชธกิจ และการออกสินค้าใหม่ๆ
โดยปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มบัญชีซื้อขายหุ้นปีนี้อีก 10% จากปีก่อนที่มีบัญชีซื้อขายอยู่ที่ 40,000 บัญชี พร้อมกับการเพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) อีก 50-60 คน จากปัจจุบันที่มี 300 คน และบริษัทมีแผนขยายสาขาอีก 6 สาขาในปีนี้ จากเดิมที่มี 20 สาขา แผนการขยายฐานนักลงทุนสถาบันนั้น บริษัทมีจุดแข็งในเรื่องงานวิจัยที่มีคุณภาพซึ่งนักวิเคราะห์ของบริษัทได้รับรางวัลจากนิตยสารเอเชียมันนี่ และจากที่บริษัทมีเครือขายของกลุ่มซีไอเอ็มบี
ล่าสุด ได้มีการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์ของ Royal Bank of Scotland หรือ RBS ที่สามารถเข้าไปให้บริการกองทุนขนาดใหญ่ๆ ในภูมิภาค และจากที่กลุ่มบริษัทมีดีลไอพีโอทั้งในและต่างประเทศ คาดปีนี้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยจะอยู่ที่ 60-65% ขณะที่นักลงทุนสถาบันใน และต่างประเทศจะอยู่ที่ 35-40% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม
“บริษัทได้ควบรมกับ บล.ซิกโก้เสร็จช่วงปลายเดือน พ.ย.55 แล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งมีแผนขยายนักลงทุนสถาบัน ส่วนงานไอบีปีนี้มีต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยดีลได้”
นายสุชาย กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีพอร์ตการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ 800-900 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตซื้อขายระยะสั้น ใช้ลงทุนไปแล้ว 60-70% โดยปีนี้จะเพิ่มพนักงานที่ดูแลพอร์ตการซื้อขายอีก และอาจเพิ่มวงเงินซื้อขายได้อีก โดยบริษัทคาดผลตอบแทนการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 12-15% ใกล้เคียงปีก่อน ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) 1,300 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น แต่บริษัทมีเกณฑ์ในการควบคุมดูแลแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้นพื้นฐาน และแนะนำให้มีการถือหุ้นระยะสั้นไม่ควรถือยาว หากต้องการถือยาวจะแนะนำให้ซื้อในบัญชีเงินสดแทน โดยบริษัทจะมีการปล่อยมาร์จิ้นไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
***********
