ทิสโก้ชี้เศรษฐกิจโลกปี 2556 เริ่มฟื้นตัว ชูตลาดหุ้นจีนเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน หลังปัจจัยราคาหุ้นถูกสุดในภูมิภาคเอเชีย และเงินลงทุนไหลเข้ามากที่สุดในโลก พร้อมแนะลงทุนหุ้นเอเชีย ทองคำ ส่วนหุ้นไทยให้รอจังหวะลงทุนช่วงตลาดหุ้นย่อตัว
นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2556 เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจในประเทศสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการคลายความกังวลเรื่องหน้าผาทางการคลังที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นถึงแม้จะยังจัดการได้ไม่เสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่ได้จัดการเรื่องการลดรายจ่าย และการขึ้นเพดานการก่อหนี้ภาครัฐ ซึ่งกว่าจะจัดการได้เสร็จสิ้นคงต้องรอจนถึงช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี อย่างไรก็ตาม ภาคเศรษฐกิจแท้จริงของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ และการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และน่าจะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวได้ในระดับที่สูงกว่า 2%
ด้านเศรษฐกิจในยูโรโซนนั้น แม้ช่วงหลังความผันผวนจะลดลง แต่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจยังมีความเปราะบางต่อเนื่อง โดยความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจยุโรปที่ควรจับตามองในระยะใกล้คือ การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ซึ่งจะมีขึ้นประมาณวันที่ 24-25 ก.พ.นี้ หากนายมาริโอ มอนตี ไม่ได้รับคัดเลือกเป็นรัฐบาลสมัยที่สองอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ โดยรวมเศรษฐกิจของยูโรโซนมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัวต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรกนี้ ก่อนจะเริ่มมีการหยุดหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับเศรษฐกิจจีน การฟื้นตัวเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน โดยล่าสุดจีนได้ประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2555 ซึ่งเติบโตสูงถึง 7.9% ขณะที่ตัวเลขจีดีพีทั้งปีเติบโต 7.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่ทางการจีนได้ประมาณการไว้ที่ 7.5% โดยภาพรวมมีการลงทุนภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐซึ่งเน้นพัฒนาความเป็นเมืองตามการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยภาพรวม Deutsche Bank ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้น่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับไม่ต่ำกว่า 8%
ด้านเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 4.5% โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ภาคการส่งออกน่าจะฟื้นตัวได้เล็กน้อย สำหรับการลงทุนภาครัฐ เรามองว่ายังมีความเสี่ยงในการลงมือสร้าง และการเบิกจ่ายที่ล่าช้า สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเรามองว่าจะเร่งตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.3% โดยมีสาเหตุจากการเร่งตัวขึ้นของราคาอาหาร สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% จนถึงครึ่งปีแรก และมีความเป็นไปได้ว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง
ส่วนประเด็นเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วในช่วงที่ผ่านมา ดร.กำพลมองว่าจะเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวเท่านั้น โดยมองค่าเงินบาทไว้ที่ 29.5-30.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ และเงินทุนไหลเข้าไทยอาจจะเป็นประเด็นที่ ธปท.ห่วงแต่ก็คงไม่ได้มีผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศแต่ประการใด เพราะในปี 11 ค่าเงินบาทก็แข็งเช่นกันแต่ ธปท.ก็ยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะหากปล่อยดอกเบี้ยในประเทศต่ำเกินไปอาจส่งผลเสียตามมาได้เช่นกัน
ด้านนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 56 ยังมองหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสุด จากสภาพคล่องที่ยังล้นระบบและไหลออกจากตลาดตราสารหนี้มาสู่ตลาดหุ้นมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และตั้งแต่ต้นปี 56 มานี้สินทรัพย์เสี่ยงประเภทหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีในขณะที่สินทรัพย์ที่มีความมั่นคงให้ผลตอบแทนติดลบ โดยในส่วนของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ เองก็มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นได้อีกจากปัจจุบัน โดยตลาดมองไว้ว่าน่าจะขึ้นไปสู่ระดับ 2% ต้นๆ ได้ ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ยังไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้น ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนทั่วโลกก็มีการลดน้ำหนักการถือครองเงินสดลงและหันมาลงทุนในหุ้นเพิ่มมากขึ้น โดยหุ้นในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชียยังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจสุด
บริษัทยังแนะนำหุ้นจีนเป็นตลาดที่น่าสนใจที่สุด ในขณะที่เศรษฐกิจมีการเติบโตแต่มูลค่าหุ้นในปัจจุบันยังถูกมากต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นภูมิภาคประมาณ 30% หากหุ้นจีนกลับไปเทรดที่ค่าเฉลี่ยภูมิภาคก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 30% ได้เช่นกัน ตลาดเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจรองจากจีนเพราะปัจจุบันในแง่มูลค่าตลาดก็ยังไม่แพง
“สำหรับตลาดหุ้นไทยบริษัทมองไว้ที่ 1,500 จุด และโอกาสในขาลง (Downside) ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,400 จุด ตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังน่าจะเติบโตได้ดี กำไรบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยยังโต 15% แนะนำซื้อตอนย่อตัว ทองคำเองก็ยังน่าสนใจที่ระดับราคาต่ำกว่า 1,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ น่าสนใจซื้อ โดยมองเป้าปีนี้ไว้ที่ 1,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ มีอัปไซด์ประมาณ 10% จากดีมานด์การลงทุนในทองคำที่คาดว่าจะมีมาต่อเนื่องในปีนี้”