แมนูไลฟ์โชว์ผลงานกอง “สเตร็งค์ เอเชี่ยน สมอลแคป อิควิตี้ เอฟไอเอฟ” (MS-ASIAN SM) ฟอร์มเจ๋งหลังเปิดกอง 9 เดือน ผลตอบแทนชนะตลาด 19.46% เชื่อกองยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และหุ้นในฮ่องกง จีน และเกาหลีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และยังมี P/E ที่ต่ำมาก
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ เอเชียน สมอลแคป อิควิตี้ เอฟไอเอฟ (MS-ASIAN SM) ซึ่งเปิดเสนอขายเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าที่ลงทุนเป็นอย่างมาก โดยผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 จนถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2555 สูงถึง 18.55% ขณะที่ผลตอบแทนของ MSCI AC Asia Pacific ex JP Small Cap Index (เกณฑ์มาตรฐาน) ในช่วงเดียวกันอยู่ที่ -0.91% เท่านั้น
ทั้งนี้ แม้หุ้นหลักๆ หลายตัวที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนให้ผลตอบแทนกว่า 50% ในปีนี้เนื่องมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและดีกว่าตลาดคาดการณ์ แต่ผู้จัดการกองทุนหลักเชื่อว่ากองทุนยังมีศักยภาพสูงในการสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไป เนื่องจากยังมีหุ้นในตลาดฮ่องกง จีน และเกาหลีอีกมากที่มีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและยังมี P/E ที่ต่ำมาก แต่มีแนวโน้มอัตราการเติบโตของกำไรในอีก 2-3 ปีข้างหน้ากว่า 20% และในปัจจุบันระดับราคาหุ้นที่กองทุนถือโดยเฉลี่ยก็ยังต่ำกว่าตลาด โดยมีค่า P/E ประมาณ 11 เท่า (P/E ตลาด 13 เท่า) อีกทั้งยังมีความผันผวนน้อยกว่าตลาด โดยมีค่า Beta เฉลี่ย 1 ปีเพียง 0.84
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเข้าลงทุนเมื่อหุ้นยังมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและต้องพยายามลงทุนก่อนนักลงทุนในตลาด โดยผู้จัดการกองทุนจะเข้าลงทุนในหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกเหล่านี้ตั้งแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักลงทุนรายใหญ่หรือยังไม่มีการเผยแพร่ในบทวิเคราะห์ และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น โดยผู้จัดการกองทุนหลักก็จะพิจารณาขายทำกำไรเมื่อถึงราคาเป้าหมายและเริ่มมองหาหุ้นขนาดเล็กที่มีค่าตัวใหม่ต่อไป” นายต่อกล่าว
กองทุน MS-ASIAN SM เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Manulife Global Fund-Asian Small Cap Equity Fund (กองทุนหลัก) โดยเน้นการกระจายการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็กในภูมิภาคเอเชียและ/หรือแปซิฟิก จุดเด่นของกองทุนนี้คือ กลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบ Bottom-up ซึ่งผู้จัดการกองทุนหลักจะให้ความสำคัญในการคัดเลือกหุ้นเป็นอย่างมาก โดยใช้เวลาในการค้นหาหุ้นขนาดเล็กของบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงต้นๆ ของธุรกิจที่กำลังจะประสบความสำเร็จ ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)