บลจ.ธนชาตชี้ ตลาดตราสารหนี้ไตรมาส 3 ไม่คึกคัก หลังเศรษฐกิจชะลอตัวจากภาระทางการคลังจากนโยบายของรัฐมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าคาด ล่าสุดเสนอขายกองทุนเปิดธนชาตพันธบัตรรัฐคุ้มครองเงินต้น 3M/1รอบการลงทุนประมาณ 3 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี เริ่มขายแล้ววันนี้ -13 ก.พ.55
นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2555 ในระยะแรก คาดว่ายังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่น่าจะทรงตัว หรืออาจปรับลดลงได้อีก หากมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในระยะถัดไป คาดว่าตลาดตราสารหนี้อาจจะกลับมาผันผวน เนื่องจากภาระทางการคลังจากนโยบายของรัฐมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าคาด และหากการจัดเก็บภาษีได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้มีความเสี่ยงที่ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกใหม่ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 น่าจะสูงกว่าที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้า
ล่าสุด บริษัทฯจะทำการเสนอขาย กองทุนเปิดธนชาตพันธบัตรรัฐคุ้มครองเงินต้น 3M/1(TGOV3M1) รอบการลงทุนประมาณ 3 เดือน และสามารถลงทุนได้ต่อเนื่องประมาณ3 เดือนต่อรอบ ผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปีลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประมาณ 99.90%และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ2.9705% ต่อปี ประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุน 0.2205% ต่อปี เริ่มเปิดขายแล้ววันนี้ - 13 กุมภาพันธ์ 2555
ทั้งนี้ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนที่ 3.25% เทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ 1.43% ย้อนหลัง 6 เดือนที่ 3.17% เทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ 1.49% และย้อนหลัง 1 ปีกองทุนให้ผลตอบแทนที่ 2.63% เทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ 1.33% ขณะที่ผลการดำเนินงานรายไตรมาสของปีที่ผ่านมา ไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.59% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.16% ไตรมาส 3 ที่ 2.79% และรวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 2.60%
สำหรับกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับรองผู้รับอาวัลหรือผู้ค้ำประกัน โดยจะลงทุนใน ตราสารแห่งหนี้ที่มีอายุใกล้เคียงหรือเท่ากับรอบระยะเวลาที่เปิดขายหน่วยลงทุน ประมาณ 3 เดือน และเมื่อครบกำหนดอายุของตราสารดังกล่าว กองทุนจะได้รับ เงินคืนอย่างน้อยเท่ากับมูลค่าตามราคาหน้าตั๋วของตราสารที่ได้ลงทุนนั้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิด ยูโอบี เอฟไอ พลัส พลัส 12 ซี 2 (UOB FI Plus Plus 12C2 Fund : UOBFIPP12C2) อายุโครงการ ประมาณ 12 เดือน มูลค่ากองทุน 2,000 ล้านบาท ( Green Shoe 15% ) ประมาณการผลตอบแทน อยู่ที่ 4.20%
ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก ตราสารทางการเงินที่รัฐบาล องค์การหน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ ธนาคาร สถาบันการเงิน และ/หรือภาคเอกชนทั้งของในประเทศและ/หรือต่างประเทศ และลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง(Structured Note) ที่เป็น Credit Linked Note ออกโดยสถาบันการเงินในประเทศ และ/หรือต่างประเทศ มูลค่าขั้นต่ำในการสั่งซื้อ 10,000 บาท
อีกกองทุนคือ กองทุนเปิดิด ยูโอบี เอฟไอ พลัส พลัส 6/30 (UOB FI Plus Plus 6/30 Fund : UOBFIPP 6/30) อายุโครงการ ประมาณ 6 เดือน มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท ( Green Shoe 15% ) ประมาณการผลตอบแทน อยู่ที่ 3.30%
โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วแลกเงินของธนาคารพาณิชย์ เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ และตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนทั่วไป มูลค่าขั้นต่ำในการสั่งซื้อ 10,000 บาท เปิดขายถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ทั้ง 2 กองทุน
นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2555 ในระยะแรก คาดว่ายังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่น่าจะทรงตัว หรืออาจปรับลดลงได้อีก หากมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในระยะถัดไป คาดว่าตลาดตราสารหนี้อาจจะกลับมาผันผวน เนื่องจากภาระทางการคลังจากนโยบายของรัฐมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าคาด และหากการจัดเก็บภาษีได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้มีความเสี่ยงที่ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกใหม่ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 น่าจะสูงกว่าที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้า
ล่าสุด บริษัทฯจะทำการเสนอขาย กองทุนเปิดธนชาตพันธบัตรรัฐคุ้มครองเงินต้น 3M/1(TGOV3M1) รอบการลงทุนประมาณ 3 เดือน และสามารถลงทุนได้ต่อเนื่องประมาณ3 เดือนต่อรอบ ผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปีลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประมาณ 99.90%และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ2.9705% ต่อปี ประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุน 0.2205% ต่อปี เริ่มเปิดขายแล้ววันนี้ - 13 กุมภาพันธ์ 2555
ทั้งนี้ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนที่ 3.25% เทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ 1.43% ย้อนหลัง 6 เดือนที่ 3.17% เทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ 1.49% และย้อนหลัง 1 ปีกองทุนให้ผลตอบแทนที่ 2.63% เทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ 1.33% ขณะที่ผลการดำเนินงานรายไตรมาสของปีที่ผ่านมา ไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.59% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.16% ไตรมาส 3 ที่ 2.79% และรวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 2.60%
สำหรับกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับรองผู้รับอาวัลหรือผู้ค้ำประกัน โดยจะลงทุนใน ตราสารแห่งหนี้ที่มีอายุใกล้เคียงหรือเท่ากับรอบระยะเวลาที่เปิดขายหน่วยลงทุน ประมาณ 3 เดือน และเมื่อครบกำหนดอายุของตราสารดังกล่าว กองทุนจะได้รับ เงินคืนอย่างน้อยเท่ากับมูลค่าตามราคาหน้าตั๋วของตราสารที่ได้ลงทุนนั้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิด ยูโอบี เอฟไอ พลัส พลัส 12 ซี 2 (UOB FI Plus Plus 12C2 Fund : UOBFIPP12C2) อายุโครงการ ประมาณ 12 เดือน มูลค่ากองทุน 2,000 ล้านบาท ( Green Shoe 15% ) ประมาณการผลตอบแทน อยู่ที่ 4.20%
ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก ตราสารทางการเงินที่รัฐบาล องค์การหน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ ธนาคาร สถาบันการเงิน และ/หรือภาคเอกชนทั้งของในประเทศและ/หรือต่างประเทศ และลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง(Structured Note) ที่เป็น Credit Linked Note ออกโดยสถาบันการเงินในประเทศ และ/หรือต่างประเทศ มูลค่าขั้นต่ำในการสั่งซื้อ 10,000 บาท
อีกกองทุนคือ กองทุนเปิดิด ยูโอบี เอฟไอ พลัส พลัส 6/30 (UOB FI Plus Plus 6/30 Fund : UOBFIPP 6/30) อายุโครงการ ประมาณ 6 เดือน มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท ( Green Shoe 15% ) ประมาณการผลตอบแทน อยู่ที่ 3.30%
โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วแลกเงินของธนาคารพาณิชย์ เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ และตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนทั่วไป มูลค่าขั้นต่ำในการสั่งซื้อ 10,000 บาท เปิดขายถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ทั้ง 2 กองทุน