บลจ.แอสเซทพลัสเตรียมโลโอเวอร์กองตราสารหนี้ระยะสั้น3-6เดือน ชูยิลด์ 3% ต่อปีล่อใจนักลงทุน ระบุแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอาจปรับขึ้น หลังเงินเฟ้อส่อตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะมีผล 1 เมษายนนี้ ด้าน"AYF"ไม่น้อยหน้าส่งกองทุน 6 เดือน เปิดขาย สิ้นเดือนนี้ชูยิลด์ 3.25% ต่อปี ขณะที่สมาคมตราสารหนี้เผยช่วงที่ผ่านมาบอดน์อายุต่ำกว่า 1 ปีขายดีสุดในตลาด
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ ยังเป็นพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ระยะเวลาการลงทุนประมาณ 3-6 เดือน เพื่อรอความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ย และไม่เสียโอกาสของผลตอบแทนหากธนาคารแห่งประเทศไทยมีมุมมองปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ในช่วงถัดไป
ทั้งนี้ ล่าสุดในในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 6M1 (SIF-6M1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายทุกรอบ 6 เดือน โดยประมาณ โดยในรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ไทย อายุประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี
ส่วนภาวะอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยนั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นปรับตัวลดลงเพื่อสะท้อนแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปรับลดลง 0.25% อยู่ที่ระดับ 3.00% ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามการคาดการณ์ของตลาด เพื่อสนับสนุนการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ในภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับปัญหามหาอุทกภัยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นฟูประเทศในปีนี้
ขณะที่นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่จะทยอยปรับใช้ในปีนี้ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ที่จะมีผลในวันที่ 1 เมษายน ปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในระยะต่อไปยังคงมีอยู่บ้าง และเป็นปัจจัยที่ ธปท. จะต้องใช้ในการพิจารณาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงถัดไป
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี)เปิดเผยว่า “ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก3.25% เหลือ 3% เนื่องจากรัฐบาลต้องการกระตุ้นการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม อีกทั้งเศรษฐกิจยุโรปที่คาดว่าจะเข้าสู่สภาวะถดถอยและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง จึงมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงสิ้นไตรมาส 2 ของ ปี 2555 และคาดว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะปรับเพิ่มขึ้นในระยะอันใกล้มีความเป็นไปได้น้อยมาก
ทั้งนี้ บลจ. กรุงศรี ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และต้องการเพิ่มทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะสมสำหรับนักลงทุนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M6(KFFIX6M6) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 31 ม.ค. -6 ก.พ. 55 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท”
“กองทุน KFFIX6M6 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 56 % เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 24 % เงินฝากธนาคาร Bank of China สาขา Macau สัดส่วนการลงทุน 20 % โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.25 % ต่อปี ทั้งนี้คาดว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี” นายฉัตรพี กล่าว
บอนด์สั้นขายดี
สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย รายงานภาวะตลาดตราสารหนี้ (23 - 27 มกราคม 2555) ที่ผ่านมาว่า เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือโดยเฉลี่ยแล้วลดลงอยู่ในช่วงประมาณ -1 ถึง -5 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ซึ่งภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าปรับตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 17% โดยที่ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากทิศทางของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ลงอีก 0.25% จาก 3.25% มาอยู่ที่ 3.0% นอกจากนี้แล้วการที่วิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ยังไม่ได้ข้อสรุปของการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน จึงมีผลทำให้เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศเหล่านี้ และเข้ามาลงทุนในประเทศแถบอาเซียนมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับอานิสสงค์จากไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนในรอบนี้
ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ 32,305 ล้านบาทในตลาดตราสารหนี้ โดยที่มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ของนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงเน้นไปในตราสารระยะสั้น (มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) เป็นหลัก จึงไม่ได้ส่งผลต่อภาพรวมของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดมากเท่าใดนัก และสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องประมาณ 823 ล้านบาท
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ ยังเป็นพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ระยะเวลาการลงทุนประมาณ 3-6 เดือน เพื่อรอความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ย และไม่เสียโอกาสของผลตอบแทนหากธนาคารแห่งประเทศไทยมีมุมมองปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ในช่วงถัดไป
ทั้งนี้ ล่าสุดในในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 6M1 (SIF-6M1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายทุกรอบ 6 เดือน โดยประมาณ โดยในรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ไทย อายุประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี
ส่วนภาวะอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยนั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นปรับตัวลดลงเพื่อสะท้อนแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปรับลดลง 0.25% อยู่ที่ระดับ 3.00% ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามการคาดการณ์ของตลาด เพื่อสนับสนุนการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ในภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับปัญหามหาอุทกภัยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นฟูประเทศในปีนี้
ขณะที่นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่จะทยอยปรับใช้ในปีนี้ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ที่จะมีผลในวันที่ 1 เมษายน ปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในระยะต่อไปยังคงมีอยู่บ้าง และเป็นปัจจัยที่ ธปท. จะต้องใช้ในการพิจารณาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงถัดไป
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี)เปิดเผยว่า “ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก3.25% เหลือ 3% เนื่องจากรัฐบาลต้องการกระตุ้นการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม อีกทั้งเศรษฐกิจยุโรปที่คาดว่าจะเข้าสู่สภาวะถดถอยและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง จึงมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงสิ้นไตรมาส 2 ของ ปี 2555 และคาดว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะปรับเพิ่มขึ้นในระยะอันใกล้มีความเป็นไปได้น้อยมาก
ทั้งนี้ บลจ. กรุงศรี ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และต้องการเพิ่มทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะสมสำหรับนักลงทุนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M6(KFFIX6M6) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 31 ม.ค. -6 ก.พ. 55 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท”
“กองทุน KFFIX6M6 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 56 % เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 24 % เงินฝากธนาคาร Bank of China สาขา Macau สัดส่วนการลงทุน 20 % โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.25 % ต่อปี ทั้งนี้คาดว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี” นายฉัตรพี กล่าว
บอนด์สั้นขายดี
สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย รายงานภาวะตลาดตราสารหนี้ (23 - 27 มกราคม 2555) ที่ผ่านมาว่า เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือโดยเฉลี่ยแล้วลดลงอยู่ในช่วงประมาณ -1 ถึง -5 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ซึ่งภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าปรับตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 17% โดยที่ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากทิศทางของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ลงอีก 0.25% จาก 3.25% มาอยู่ที่ 3.0% นอกจากนี้แล้วการที่วิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ยังไม่ได้ข้อสรุปของการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน จึงมีผลทำให้เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศเหล่านี้ และเข้ามาลงทุนในประเทศแถบอาเซียนมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับอานิสสงค์จากไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนในรอบนี้
ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ 32,305 ล้านบาทในตลาดตราสารหนี้ โดยที่มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ของนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงเน้นไปในตราสารระยะสั้น (มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) เป็นหลัก จึงไม่ได้ส่งผลต่อภาพรวมของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดมากเท่าใดนัก และสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องประมาณ 823 ล้านบาท