ASTVผู้จัดการรายวัน - สมาคมตลาดตราสารหนี้ เผยปี 2555 ไตรมาสแรกเริ่มคึกคัก หลังรัฐอนุมัติงบประมาณ พันธบัตรรัฐ ด้านนักลงทุนต่างชาติเชื่อเข้ามาลงทุนในไทยมากกว่านี้ หลังเจอปัญหายุโรป และสหรัฐฯ
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยถึง แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปีหน้าคาดว่า ไตรมาสแรกของปี 2555 จะมีความคึกคัก เนื่องจากในตลาดแรกจะมีพันธบัตรรัฐบาลออกมาหลังจากพ.ร.บ.งบประมาณปี 2555 ผ่านสภาแล้ว
“ถือเป็นจังหวะการลงทุนที่ดี เพราะในปีหน้ารัฐบาลมีแผนที่จะออกพันธบัตร เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการขนาดใหญ่ ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ อีกทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่ชะลอการออกหุ้นกู้มาตั้งแต่ต้นปี จึงเริ่มมีแผนอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มออกในช่วงเดือนมกราคมปี2555”
สำหรับในปี 2555 เม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะเข้ามาซื้อขายตราสารหนี้ในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งมองว่าประเทศที่มีปัญหาหนี้สินและเศรษฐกิจอาจจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมา ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือในกลุ่มประเทศแถบยุโรป และ QE รอบ 3 ซึ่งเป็นวิธีการใส่เงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงน่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยด้วย
นางสาวอริยา กล่าวต่อไปว่า ในปีหน้ายอดการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติจะสูงขึ้นกว่าปีนี้ เพราะเมื่อเทียบยอดการถือครองตราสารหนี้ในตลาดเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก็พบว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงถึง 20% ของตราสารหนี้รวม จึงแสดงว่ายังมีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้าลงทุนในไทยได้อีก
สำหรับนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันมียอดการถือครองตราสารหนี้อยู่ที่ราว 4.3 แสนล้านบาทหรือคิดเป็น 6% ของยอดรวมตราสารหนี้ทั้งหมด สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ราว 2.8 แสนล้านบาท หรือราว 2% ของยอดรวมตราสารหนี้ทั้งหมด
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 ธันวาคมผลตอบแทนจากตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ราว 3.3-3.4% ซึ่งถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาค เช่น เวียดนาม13% อินโดนีเซีย 6.2% ฟิลิปปินส์ 5.6%และมาเลเซีย 3.7%
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยถึง แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปีหน้าคาดว่า ไตรมาสแรกของปี 2555 จะมีความคึกคัก เนื่องจากในตลาดแรกจะมีพันธบัตรรัฐบาลออกมาหลังจากพ.ร.บ.งบประมาณปี 2555 ผ่านสภาแล้ว
“ถือเป็นจังหวะการลงทุนที่ดี เพราะในปีหน้ารัฐบาลมีแผนที่จะออกพันธบัตร เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการขนาดใหญ่ ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ อีกทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่ชะลอการออกหุ้นกู้มาตั้งแต่ต้นปี จึงเริ่มมีแผนอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มออกในช่วงเดือนมกราคมปี2555”
สำหรับในปี 2555 เม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะเข้ามาซื้อขายตราสารหนี้ในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งมองว่าประเทศที่มีปัญหาหนี้สินและเศรษฐกิจอาจจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมา ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือในกลุ่มประเทศแถบยุโรป และ QE รอบ 3 ซึ่งเป็นวิธีการใส่เงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงน่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยด้วย
นางสาวอริยา กล่าวต่อไปว่า ในปีหน้ายอดการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติจะสูงขึ้นกว่าปีนี้ เพราะเมื่อเทียบยอดการถือครองตราสารหนี้ในตลาดเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก็พบว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงถึง 20% ของตราสารหนี้รวม จึงแสดงว่ายังมีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้าลงทุนในไทยได้อีก
สำหรับนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันมียอดการถือครองตราสารหนี้อยู่ที่ราว 4.3 แสนล้านบาทหรือคิดเป็น 6% ของยอดรวมตราสารหนี้ทั้งหมด สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ราว 2.8 แสนล้านบาท หรือราว 2% ของยอดรวมตราสารหนี้ทั้งหมด
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 ธันวาคมผลตอบแทนจากตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ราว 3.3-3.4% ซึ่งถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาค เช่น เวียดนาม13% อินโดนีเซีย 6.2% ฟิลิปปินส์ 5.6%และมาเลเซีย 3.7%