xs
xsm
sm
md
lg

ตราสารหนี้ กับ นักลงทุนรายย่อย...เหตุใดจึงไม่คึกคักเหมือนหุ้นสามัญ ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในทุกๆวันนี้ เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า “การลงทุน” ได้ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว ซึ่งแต่คนอาจมีทางเลือกในการลงทุนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดส่วนบุคคล และด้วยสภาพของสังคมในยุคปัจจุบันที่เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วด้วยแล้ว ก็ยิ่งช่วยทำให้การลงทุนนั้นสามารถทำได้ง่ายและมีความหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วยครับ

และสำหรับประเทศไทยของเรานั้น การลงทุนในตลาดทุน (Capital Market) ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากกว่าการลงทุนในทางเลือกอื่นๆ เช่นการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Property) ครับ เนื่องจากว่าการลงทุนในตลาดทุนนั้นสามารถทำได้ง่ายกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นในจำนวนที่สูง แตกต่างจากการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น ทองคำและน้ำมัน หรือแม้แต่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่การติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือความเคลื่อนไหวต่างๆนั้น ทำได้ได้ยากกว่า และยังต้องใช้เงินลงทุนในจำนวนที่ค่อนสูงอีกด้วย

อันที่จริงแล้ว เรายังสามารถแบ่งตลาดทุน (Capital Market) ออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ตลาดตราสารทุน (Stock Market) ตลาดตราสารหนี้ (Fixed-Income Market) และตลาดตราสารอนุพันธ์ (Derivative Market) แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยเรานั้น การลงทุนในตลาดตราสารทุน และตราสารอนุพันธ์ จะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มากกว่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากวิธีในการซื้อขายที่สามารถเข้าใจได้ง่าย และสะดวกรวดเร็วกว่า เพราะทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิคส์ อีกทั้งราคาของหลักทรัพย์นั้นยังสามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ในทุกๆวันทำการ ตรงกันข้ามกับการซื้อขายตราสารหนี้ที่นักลงทุนต้องทำการติดต่อซื้อขายกับผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer) นอกตลาด (ซื้อขายแบบ OTC) และด้วยลักษณะเฉพาะตัวของตราสารหนี้ ที่ราคาเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ จึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ทำการลงทุนแบบเน้นการเก็งกำไรเป็นหลัก

โดยในปี 2552 และ 2553 ที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดตราสารทุนให้ผลตอบแทนในแต่ละปีสูงถึง 63% และ 41% เลยทีเดียวครับ ขณะที่การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในแต่ละปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 4% และ 5% ตามลำดับ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อาจจะถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อย แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ และที่สำคัญ การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า และมีความมั่นคงมากกว่าการลงทุนในตลาดตราสารทุนอยู่ค่อนข้างมากดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในช่วงปี 2551 ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง (SET Index ปรับตัวลดลง 47%) แต่การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก (ให้ผลตอบแทนประมาณ +15%)
 
และจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นจากตัวอย่างที่เพิ่งเกิดในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ถึงต้นเดือนตุลาคม (หรือระยะเวลาเพียง 40 วันทำการ) เราพบว่า SET Index ปรับตัวลดลงไปกว่า 290 จุด (ลดลงประมาณ 25%) ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน กลับให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก หรือประมาณ 0.7% ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นสามัญ จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุนแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ยังช่วยทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนอยู่เป็นประจำ (เนื่องจากตราสารหนี้จะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถืออย่างสม่ำเสมอ) ไม่ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือสภาวะตลาดในช่วงนั้นๆจะเป็นอย่างไร ซึ่ง
สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีความถนัดกับการลงทุนในตราสารหนี้ อาจจะเริ่มต้นด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ เพราะนอกจากจะมีผู้จัดการกองทุนคอยทำการติดตามข้อมูลข่าวสาร และตัดสินใจในทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับเราแล้ว การลงทุนผ่านกองทุนรวมยังสามารถทำได้ง่ายกว่าการลงทุนโดยตรงด้วยตัวเองอีกด้วย และสำหรับนักลงทุนที่สนใจจะเริ่มทำการลงทุนในตลาดตราสารหนี้อย่างจริงจังด้วยตนเองแล้ว สามารถเข้าไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thaibma.or.th หรือสอบถามข้อสงสัยและปัญหาต่างๆได้ที่ www.facebook.com/fbthaibma ครับ

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
www.thaibma.or.th
สุชาติ ธนฐิติพันธ์, ฝ่ายวิจัยและพัฒนา
suchart@thaibma.or.th, 02-252-3336 Ext.113
กำลังโหลดความคิดเห็น