xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนชี้ดบ.ปีนี้คงที่3.50% ส่งบอนด์สั้นพักเงิน-ให้ยิลด์สูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ. แอสเซท พลัส ปรับมุมมองดอกเบี้ยนโยบายปลายปีคงที่ 3.50% หลังมติกนง.ล่าสุด ไม่ขยับดอกเบี้ย พร้อมชู 2 กองทุน พักเงินในตราสารหนี้ ด้าน "เกียรตินาคิน" แนะนักลงทุน เลือกการลงทุนระยะสั้นๆ หนีความผันผวน ชูกองทุนคุ้มครองเงินต้น

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเดิมที่คาดว่าปลายปีนี้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.75% เป็นคงที่อยู่ในระดับ 3.50% จนถึงไตรมาส 2/2555 หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ระดับ 3.50% ตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ยังเหมาะสมกับเศรษฐกิจ และระดับเงินเฟ้อที่เริ่มทรงตัว แต่ยังคงเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชนหลังน้ำลดอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ส่วนในด้านผลกระทบจากภัยน้ำท่วมต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ล่าสุดทางสภาพัฒน์ได้ประเมินว่าจะส่งผลให้ GDP ประเทศ ปรับตัวลดลงจากเดิมได้อีก 1.7% ซึ่งตัวเลขนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงหากปัญหาน้ำท่วมยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูความเสียหายหลังจากน้ำลดน่าจะกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้กลับมาเติบโตได้ในระยะต่อไป

นางสาวจารุลักษณ์กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ ในช่วงตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ บริษัทฯ ยังคงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ โดยในวันที่ 25 ตุลาคม บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 1 (ASP-MMF1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยกองทุนเปิดเสนอขายและรับซื้อคืนทุกรอบ 3 เดือน ในรอบการลงทุนนี้จะพิจารณาลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝากธนาคารภาครัฐ และตั๋วแลกเงินธนาคารพาณิชย์ โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.35% ต่อปี

นอกจากนี้ ในวันที่ 26 ตุลาคม บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และเงินฝาก โดยกองทุนเปิดเสนอขาย และรับซื้อคืนทุกรอบ 3 เดือน ในรอบการลงทุนนี้จะพิจารณาลงทุนใน พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และเงินฝากธนาคารภาครัฐ และ คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.15% ต่อปี

ด้านนายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคิน จำกัด เผยมุมมองการลงทุนในช่วงนี้ว่า จากวิกฤตน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้น และเริ่มไหลล้นเข้ากรุงเทพฯในขณะนี้ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความแปรปรวนอยู่ตลอด ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้นมีการผันผวนค่อนข้างมาก โดยได้มีการปรับตัวลงมาทดสอบที่ 900 จุด นักลงทุนจึงควรต้องให้ความใส่ใจ และระมัดระวังการตัดสินใจลงทุนมากขึ้นในช่วงนี้

ทั้งนี้ จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวัน 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งได้กล่าวถึงข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปีนี้ว่ายังขยายตัวได้ แต่เริ่มมีสัญญาณของการแผ่วลงของการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจต่างประเทศที่อ่อนแอลง นอกจากนนี้ได้มีการประเมินว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นมีผลรุนแรงและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนหยุดชะงัก ซึ่งจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้มาก แต่การบูรณะซ่อมแซมความเสียหายจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ให้ทยอยกลับมาเติบโตได้ในระยะต่อไป โดยเริ่มมีการประเมินว่าผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมจะกระทบ GDP ปีนี้ให้ลดลงประมาณ 1% หรืออาจมากกว่านั้นหากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์น้ำท่วมที่ไหลเข้ากรุงเทพได้ ในขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยังประเมินเป้าหมาย GDP ปี 2555 ไว้ที่ 4.5% โดยน่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมในปีนี้

นอกจากนี้ จากการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.50% ในการประชุม กนง. ที่ผ่านมา เป็นการช่วยพยุงแรงกดดันด้านราคาสินค้า และช่วยเอื้อต่อการปรับตัวของเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นภาวะแห่งความผันผวนนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอาจมีการปรับตัวลงต่อได้อีกเล็กน้อย

นายศุภกร กล่าวว่า ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจไปด้วยเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อายุ 10 ปี ได้ลดลงจาก 3.9% ในช่วงปลายเดือนกันยายน เหลือเพียง 3.48%ในขณะนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอัตราผลตอบแทนในระยะยาวได้มีการปรับตัวลงค่อนข้างมาก ขณะที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในระยะสั้นมีการปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย ดังนั้น การลงทุนในภาวะแห่งความผันผวนเช่นนี้ นักลงทุนอาจเลือกการลงทุนระยะสั้นๆ ที่มีระดับความเสี่ยงไม่สูงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนที่มีเงื่อนไขของการคุ้มครองเงินต้น เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในขณะที่วางใจกับความปลอดภัยของเงินต้นได้

โดยในขณะนี้ เคเคฟันด์กำลังเปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ Rollover ระหว่างวันที่ 21-28 ตุลาคม 2554 ได้แก่ กองทุนเปิด เคเค สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 3/2 (KK SP3/2) ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน ผลตอบแทน 3.25%ต่อปี และกองทุนเปิด เคเค ตราสารหนี้ สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น 1 (KK SP1) ระยะเวลาโครงการ 1 เดือน ผลตอบแทน 3.15%ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนจะเน้นลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งจำนวน จึงสามารถให้ความมั่นใจกับนักลงทุนในเรื่องการคุ้มครองเงินต้นได้อย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น