นักวิเคราะห์กองทุนรวมมองระยะสั้นราคาทองคำยังผันผวน แนะสะสมเพิ่มหากเห็นราคาลง พร้อมชูกองทุนทองคำที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง ทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงต่างปรับตัวลดลงแรง ขณะที่ราคาทองคำพุ่งทะยานเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิม 1,900 US$/oz. อีกครั้ง อย่างไรก็ตามภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจนและตลาดยังมีความหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ (QE3) ทำให้เรายังคงมองว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะปรับตัวผันผวนต่อไป เช่นเดียวกันราคาทองคำเราคาดว่าจะยังคงผันผวน แนะนำ Wait and see ต่อไปและรอจังหวะเข้าสะสมกองทุนทองคำเพิ่มหากเห็นราคาปรับตัวลดลงแรง
ขณะที่กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง TGoldBullion-Hedge ซึ่งเราได้จับตามาตั้งแต่กองทุนเริ่มดำเนินการ อัตราผลตอบแทนที่ได้ใกล้เคียงกับกองทุนทองคำอื่นที่มีการป้องกันความเสี่ยง, ค่าใช้จ่ายกองทุนที่ไม่แพง และที่สำคัญการรับเงินจากการขายกองทุนที่รวดเร็ว (ระยะเวลาที่จะได้เงินคืนคือ T+1) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เราตัดสินใจเพิ่มกองทุนทองคำของบลจ.ธนชาต เข้ามาอีกหนึ่งกอง
นอกจากนั้นเรายังคงแนะนำ K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล) เป็นทางเลือกในการลงทุนกองทุนทองคำต่อไป สำหรับกองทุนน้ำมันเราปรับคำแนะนำ เป็นทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน โดยจับตาแนวรับที่ 75-80 US$/bbl. กองทุนน้ำมันแนะนำยังคงเป็น K-OIL และ ASP-OIL ของบลจ.กสิกรไทย และบลจ. Asset Plus ตามลำดับ
ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นระยะสั้นมีโอกาสผันผวนสูงจากปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐ หนี้ยุโรป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในระยะยาว เรายังเชื่อมั่นต่อภาพเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ กองทุนที่แนะนำได้แก่ ABGEM และ ABAPAC สำหรับกองทุนจีนที่แนะนำยังคงเป็น ABCG ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ. Aberdeen ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงชอบกองทุน Global Bond Fund ของ บลจ.ธนชาต, บลจ.ทหารไทย และน้องใหม่อย่าง บลจ.CIMB-Principle ซึ่งทั้งหมดใช้บริการกองทุนหลัก (Master Fund) เหมือนกัน โดยลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและคาดการณ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของ FED ทำให้เราเชื่อว่าจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งกองทุนนี้จะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลล่าร์
ส่วนแนวโน้ม SET ยังแกว่งตัวในแนวโน้มขาลง เราคงคำแนะนำเดิมสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุนในปีนี้ ให้รอดูสถานการณ์ และเข้าทยอยสะสมเพิ่มหาก SETI ปรับลดลงมาใกล้แนวรับ 1,030 และ 1,010 จุด และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ (Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See ต่อไป