ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวม มองนักลงทุนกังวลกับสถานการณ์หนี้ยุโรปค่อนข้างมาก ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงยังมีแนวโน้มผันผวนต่ออีกระยะ พร้อมชูทยอยเก็บกองทุนหุ้นจีนหลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นยังคงผันผวนต่อ หลังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก การปรับตัวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงเรายังคงคาดว่าจะผันผวนต่อไป จนกว่าจะเห็นการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปและการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชัดเจนกว่านี้ ทำให้เราคงคำแนะนำ Wait and see สำหรับการลงทุนระยะสั้นต่อไป
ขณะเดียวกันการลงทุนในกองทุนทองคำที่ราคามีโอกาสผันผวนได้เช่นกัน แนะนำรอดูสถานการณ์ และเข้าสะสมกองทุนทองคำเมื่อราคาทองคำปรับตัวลดลง โดยมีแนวรับที่ 1,800 US$/oz. และ 1,700 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง TGoldBullion-Hedge ซึ่งเราได้จับตามาตั้งแต่กองทุนเริ่มดำเนินการ อัตราผลตอบแทนที่ได้ใกล้เคียงกับกองทุนทองคำอื่นที่มีการป้องกันความเสี่ยง, ค่าใช้จ่ายกองทุนที่ไม่แพงและที่สำคัญการรับเงินจากการขายกองทุนที่รวดเร็ว (ระยะเวลาที่จะได้เงินคืนคือ T+1) เป็นปัจจัยหลักที่เราตัดสินใจเพิ่มกองทุนทองคำของ บลจ.ธนชาต เข้ามาอีกหนึ่งกอง นอกจากนั้น เรายังคงแนะนำ K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ..Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล) เป็นทางเลือกในการลงทุนกองทุนทองคำต่อไป สำหรับกองทุนน้ำมันเราคงคำแนะนำ ทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน โดยจับตาแนวรับที่ 75-80 US$/bbl. กองทุนน้ำมันแนะนำยังคงเป็น K-OIL และ ASP-OIL ของ บลจ.กสิกรไทยและบลจ.Asset Plus ตามลำดับ
ส่วนการลงทุนในหุ้นระยะสั้นมีโอกาสผันผวนสูงจากปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐ หนี้ยุโรป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากแต่การลงทุนในระยะยาวกลับมีภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงการเติบโตที่ต่างกันอย่างมากของ 2 เขตเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเรายังคงเชื่อมั่นต่อภาพเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ว่าจะผ่านวิกฤตหนี้ไปได้และฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับกองทุนที่แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลดลงได้แก่ ABGEM และ ABAPAC
สำหรับกองทุนจีนที่แนะนำยังคงเป็น ABCG สัญญาณเงินเฟ้อล่าสุดของจีนชะลอตัวเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าสะสมเพิ่ม ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ.อเบอร์ดีน ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงชอบกองทุน Global Bond Fund ของ บลจ.ธนชาต, บลจ.ทหารไทย และบลจ.ซีไอเอ็มบี ซึ่งทั้งหมดใช้บริการกองทุนหลัก (Master Fund) เหมือนกัน โดยลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ระยะสั้นได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าขึ้น แต่ระยะยาวเรายังเชื่อว่าการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศที่ไม่มีปัญหาหนี้ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ขณะที่แนวโน้ม SETIยังแกว่งตัว Sideway ทิศทางไม่ชัดเจน เราคงคำแนะนำเดิมสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุนในปีนี้ ให้รอดูสถานการณ์ และเข้าทยอยสะสมเพิ่มหาก SET ปรับลดลงมาใกล้แนวรับ 1,030 และ 1,010 จุด และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ(Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See ต่อไป
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นยังคงผันผวนต่อ หลังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก การปรับตัวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงเรายังคงคาดว่าจะผันผวนต่อไป จนกว่าจะเห็นการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปและการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชัดเจนกว่านี้ ทำให้เราคงคำแนะนำ Wait and see สำหรับการลงทุนระยะสั้นต่อไป
ขณะเดียวกันการลงทุนในกองทุนทองคำที่ราคามีโอกาสผันผวนได้เช่นกัน แนะนำรอดูสถานการณ์ และเข้าสะสมกองทุนทองคำเมื่อราคาทองคำปรับตัวลดลง โดยมีแนวรับที่ 1,800 US$/oz. และ 1,700 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง TGoldBullion-Hedge ซึ่งเราได้จับตามาตั้งแต่กองทุนเริ่มดำเนินการ อัตราผลตอบแทนที่ได้ใกล้เคียงกับกองทุนทองคำอื่นที่มีการป้องกันความเสี่ยง, ค่าใช้จ่ายกองทุนที่ไม่แพงและที่สำคัญการรับเงินจากการขายกองทุนที่รวดเร็ว (ระยะเวลาที่จะได้เงินคืนคือ T+1) เป็นปัจจัยหลักที่เราตัดสินใจเพิ่มกองทุนทองคำของ บลจ.ธนชาต เข้ามาอีกหนึ่งกอง นอกจากนั้น เรายังคงแนะนำ K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ..Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล) เป็นทางเลือกในการลงทุนกองทุนทองคำต่อไป สำหรับกองทุนน้ำมันเราคงคำแนะนำ ทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน โดยจับตาแนวรับที่ 75-80 US$/bbl. กองทุนน้ำมันแนะนำยังคงเป็น K-OIL และ ASP-OIL ของ บลจ.กสิกรไทยและบลจ.Asset Plus ตามลำดับ
ส่วนการลงทุนในหุ้นระยะสั้นมีโอกาสผันผวนสูงจากปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐ หนี้ยุโรป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากแต่การลงทุนในระยะยาวกลับมีภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงการเติบโตที่ต่างกันอย่างมากของ 2 เขตเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเรายังคงเชื่อมั่นต่อภาพเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ว่าจะผ่านวิกฤตหนี้ไปได้และฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับกองทุนที่แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลดลงได้แก่ ABGEM และ ABAPAC
สำหรับกองทุนจีนที่แนะนำยังคงเป็น ABCG สัญญาณเงินเฟ้อล่าสุดของจีนชะลอตัวเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าสะสมเพิ่ม ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ.อเบอร์ดีน ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงชอบกองทุน Global Bond Fund ของ บลจ.ธนชาต, บลจ.ทหารไทย และบลจ.ซีไอเอ็มบี ซึ่งทั้งหมดใช้บริการกองทุนหลัก (Master Fund) เหมือนกัน โดยลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ระยะสั้นได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าขึ้น แต่ระยะยาวเรายังเชื่อว่าการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศที่ไม่มีปัญหาหนี้ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ขณะที่แนวโน้ม SETIยังแกว่งตัว Sideway ทิศทางไม่ชัดเจน เราคงคำแนะนำเดิมสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุนในปีนี้ ให้รอดูสถานการณ์ และเข้าทยอยสะสมเพิ่มหาก SET ปรับลดลงมาใกล้แนวรับ 1,030 และ 1,010 จุด และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ(Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See ต่อไป