ASTVผู้จัดการรานวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนกองทุน LTF ทยอยสะสมหากเห็นแนวรับที่ 1,050 และ 1,020 จุด คาดตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงได้อีก ขณะที่ราคาทองคำอาจทำNew High อีกครั้งหลังนักลงทุนทั่วโลกกังวลปัญหาหนี้สหรัฐฯและยุโรป
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าตลาดจะตอบรับข่าวการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐในช่วงสั้นๆ แต่ปัญหาหนี้ที่ยังไม่จบลงง่ายๆ หลังเกิดความกังวลต่อการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงเหลือ AA+ จาก S&P สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ทำให้บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงถูกกดดันต่อ แม้ว่ารายงานตัวเลขตลาดแรงงานจะปรับตัวดีกว่าที่คาดไว้ก็ตาม นอกจากนี้ ยุโรปยังคงต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ที่บานปลายออกไป โดยคาดว่าจะมีประเทศยักษ์ใหญ่ (เช่น ฝรั่งเศส) ที่คาดว่าน่าจะไม่รอดการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจากระดับสูงสุดตามสหรัฐ ในไม่ช้า ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำต่อเนื่อง ดันราคาทองคำปรับตัวทะลุแนวต้านที่เรามองไว้ที่ 1,660 US$/oz. ทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวันที่ 1,681.67 US$/oz.
ทั้งนี้เรายังคงแนะนำสะสมกองทุนทองคำหากเห็นราคาปรับตัวลดลงใกล้ 1,660 US$/oz. และมองแนวต้านถัดไป 1,700 US$/oz. และ 1,840 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล) สำหรับกองทุนน้ำมันหลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแรงหลุดแนวรับสำคัญที่ 95 US$/bbl. ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันระยะสั้นปรับตัวเป็นขาลงอีกครั้ง เราจึงปรับคำแนะนำลงเป็นหลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนน้ำมัน
สำหรับกองทุนหุ้น ในระยะสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกเต็มไปด้วยความกังวลต่อปัญหาหนี้สหรัฐและยุโรป รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้เกิดความผันผวนอย่างมาก แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ดังนั้น การลงทุนเรายังคงมองเน้นไปที่การลงทุนระยะยาวไปยังกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เรามองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งกว่าทางฝั่ง G-3 (สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น) คงคำแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ต่อไป กองทุนที่แนะนำได้แก่ ABGEM และ ABAPAC
ขณะที่กองทุนจีนที่เราแนะนำยังคงเป็น ABCG ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ. Aberdeen ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงแนะนำ สะสมกองทุน Thanachart Global Bond ของบลจ.ธนชาต หรือ TMB Global Bond Fund ของบลจ.ทหารไทย ซึ่งมีกองทุนหลัก (Master Fund) เป็นกองเดียวกัน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ปัจจุบันตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อประเทศสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ กองทุนนี้จึงมีโอกาสแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์ในปัจจุบัน
ส่วนหุ้นไทย หลังจากที่ SET ไม่ผ่านจุดเฝ้าระวังของเราที่ 1,150 จุด ทำให้ระยะสั้น SET ปรับตัวเป็นขาลงและมีโอกาสแกว่งลงต่อได้อีก ปรับคำแนะนำสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุน LTF ปีนี้เป็น ทยอยสะสม แนวรับ 1,050 และ 1,020 จุด และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ (Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าตลาดจะตอบรับข่าวการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐในช่วงสั้นๆ แต่ปัญหาหนี้ที่ยังไม่จบลงง่ายๆ หลังเกิดความกังวลต่อการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงเหลือ AA+ จาก S&P สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ทำให้บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงถูกกดดันต่อ แม้ว่ารายงานตัวเลขตลาดแรงงานจะปรับตัวดีกว่าที่คาดไว้ก็ตาม นอกจากนี้ ยุโรปยังคงต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ที่บานปลายออกไป โดยคาดว่าจะมีประเทศยักษ์ใหญ่ (เช่น ฝรั่งเศส) ที่คาดว่าน่าจะไม่รอดการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจากระดับสูงสุดตามสหรัฐ ในไม่ช้า ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำต่อเนื่อง ดันราคาทองคำปรับตัวทะลุแนวต้านที่เรามองไว้ที่ 1,660 US$/oz. ทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวันที่ 1,681.67 US$/oz.
ทั้งนี้เรายังคงแนะนำสะสมกองทุนทองคำหากเห็นราคาปรับตัวลดลงใกล้ 1,660 US$/oz. และมองแนวต้านถัดไป 1,700 US$/oz. และ 1,840 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล) สำหรับกองทุนน้ำมันหลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแรงหลุดแนวรับสำคัญที่ 95 US$/bbl. ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันระยะสั้นปรับตัวเป็นขาลงอีกครั้ง เราจึงปรับคำแนะนำลงเป็นหลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนน้ำมัน
สำหรับกองทุนหุ้น ในระยะสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกเต็มไปด้วยความกังวลต่อปัญหาหนี้สหรัฐและยุโรป รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้เกิดความผันผวนอย่างมาก แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ดังนั้น การลงทุนเรายังคงมองเน้นไปที่การลงทุนระยะยาวไปยังกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เรามองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งกว่าทางฝั่ง G-3 (สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น) คงคำแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ต่อไป กองทุนที่แนะนำได้แก่ ABGEM และ ABAPAC
ขณะที่กองทุนจีนที่เราแนะนำยังคงเป็น ABCG ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ. Aberdeen ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงแนะนำ สะสมกองทุน Thanachart Global Bond ของบลจ.ธนชาต หรือ TMB Global Bond Fund ของบลจ.ทหารไทย ซึ่งมีกองทุนหลัก (Master Fund) เป็นกองเดียวกัน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ปัจจุบันตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อประเทศสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ กองทุนนี้จึงมีโอกาสแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์ในปัจจุบัน
ส่วนหุ้นไทย หลังจากที่ SET ไม่ผ่านจุดเฝ้าระวังของเราที่ 1,150 จุด ทำให้ระยะสั้น SET ปรับตัวเป็นขาลงและมีโอกาสแกว่งลงต่อได้อีก ปรับคำแนะนำสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุน LTF ปีนี้เป็น ทยอยสะสม แนวรับ 1,050 และ 1,020 จุด และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ (Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See