ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวมมองภาพรวมราคาทองคำยังทำนิวไฮต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่ชัด พร้อมแนะนักลงทุนทยอยเก็บสะสมกองทุนทองคำเมื่อเห็นราคาอ่อนตัวลง
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงยังคงต้องจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในระหว่างสัปดาห์และความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้ในยุโรป ทำให้เราคาดว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสผันผวนต่อไปจนกว่าจะเห็นทิศทางที่ชัดเจน ทำให้ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นทำ New High ใหม่ต่อเนื่อง ภายใต้ความกลัวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป
โดยราคาทองคำ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่เเข็งเเกร่งที่สุดในตอนนี้เเละยังคงเดินหน้าทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องที่ 1,877.0 US$/oz ก่อนมีแรงขายทำกำไรและลงมาปิดที่ 1,851.95 US$/oz (+6.08%) ทั้งนี้ ตราบเท่าที่ความกังวลยังไม่หายไป ราคาน้ำมันก็จะยังถูกกดดัน ขณะที่ทองคำก็มีแนวโน้มขาขึ้นต่อไป แต่อาจเห็นแรงทำกำไรสลับบ้าง อย่างไรก็ตามแม้ระยะสั้นอาจเห็นการปรับตัวขึ้นต่อได้แต่มีโอกาสปรับตัวลงแรงได้ทุกเมื่อ เราจึงปรับคำแนะนำเป็น Wait and See และกลับเข้าสะสมกองทุนทองคำอีกครั้งหลังเห็นการปรับตัวลงของราคาทองคำกองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล)
สำหรับกองทุนน้ำมัน เราปรับคำแนะนำเป็นทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน โดยจับตาแนวรับที่ 75-80 US$/bbl. กองทุนน้ำมันแนะนำยังคงเป็น K-OIL และ ASP-OIL ของ บลจ.กสิกรไทย และบลจ.Asset Plus ตามลำดับสำ ส่วนการลงทุนระยะยาว เรามองเป็นโอกาสสะสมกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าระยะสั้นจะผันผวนตามตลาดหุ้นโลกภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนและกังวลปัญหาหนี้ในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเรายังคงมองว่าประเทศในกลุ่ม Emerging Market มีการปรับตัวมาพอสมควรหลังวิกฤติเศรษฐกิจรอบก่อน ทำให้มีการพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงยังคงมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับไม่มีปัญหาภาระหนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงฟื้นตัวได้เร็วกว่า ดังนั้น เราจึงมองว่าเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนมากกว่าทางฝั่ง G-3 (สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น) คงคำแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ต่อไป กองทุนที่แนะนำได้แก่ ABGEM และ ABAPAC
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า กองทุนจีนที่แนะนำยังคงเป็น ABCG ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ. Aberdeen ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงชอบกองทุน Global Bond Fund ของ บลจ.ธนชาต, บลจ.ทหารไทยและน้องใหม่อย่าง บลจ.ซีไอเอ็มบี ซึ่งทั้งหมดใช้บริการกองทุนหลัก (Master Fund) กองเดียวกัน โดยกองหลักลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและคาดการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของ FED จะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งกองทุนนี้จะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลล่าร์ ในส่วนของตลาดหุ้นไทย แนวโน้ม SETI เป็นขาลงชัดเจน เราคงคำแนะนำเดิมสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุนในปีนี้ ให้รอดูสถานการณ์ และเข้าทยอยสะสมเพิ่มหาก SETI ปรับลดลงมาใกล้แนวรับ 1,040 และ 1,025 จุด โดยกองทุน LTF ที่เเนะนำได้เเก่ KFLTFDIV ที่บริหารโดยบลจ.กรุงศรี และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ (Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See ต่อไป
นายสานุพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกดูจะทรงตัวและฟื้นกลับขึ้นมาได้บ้าง นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้แรงหนุนจากการประกาศผลประกอบการที่ดี รวมถึงข่าวการควบรวมกิจการต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากญี่ปุ่นที่ว่า GDP Growth หดตัวน้อยกว่าคาด โดยหดตัวเพียง 0.3% น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 0.7% เเละไตรมาสเเรกที่หดตัว 0.9% เข้ามาช่วยหนุน ขณะที่โบรกเกอร์ชั้นนำหลายแห่ง เช่น Morgan Stanley, Goldman Sachs และ Bank of America Merrill Lynch ต่างปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะถดถอยรอบใหม่ของสหรัฐและยูโรโซน ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาล่าสุดยังคงไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นอีก 9,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขตลาดบ้านและภาคการผลิตที่ยังคงลดลง
ขณะที่ฝั่งยุโรปก็ยังมีเเต่ข่าวลบเช่นกัน เริ่มจาก GDP Growth ของเยอรมันที่ชะลอเกินคาด โดยโตเพียง 0.1% QoQ ในไตรมาส 2/54 จาก 1.3% ในไตรมาสเเรก ขณะที่การประชุมระหว่างเยอรมันและฝรั่งเศสยังไม่มีมาตรการใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ในยูโรโซน อีกทั้งนักลงทุนก็เริ่มกังวลถึงสถานะและความสามารถในการระดมทุนของธนาคารในยุโรป และผลกระทบที่อาจมีต่อภาคการเงินในสหรัฐ
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงยังคงต้องจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในระหว่างสัปดาห์และความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้ในยุโรป ทำให้เราคาดว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสผันผวนต่อไปจนกว่าจะเห็นทิศทางที่ชัดเจน ทำให้ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นทำ New High ใหม่ต่อเนื่อง ภายใต้ความกลัวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป
โดยราคาทองคำ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่เเข็งเเกร่งที่สุดในตอนนี้เเละยังคงเดินหน้าทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องที่ 1,877.0 US$/oz ก่อนมีแรงขายทำกำไรและลงมาปิดที่ 1,851.95 US$/oz (+6.08%) ทั้งนี้ ตราบเท่าที่ความกังวลยังไม่หายไป ราคาน้ำมันก็จะยังถูกกดดัน ขณะที่ทองคำก็มีแนวโน้มขาขึ้นต่อไป แต่อาจเห็นแรงทำกำไรสลับบ้าง อย่างไรก็ตามแม้ระยะสั้นอาจเห็นการปรับตัวขึ้นต่อได้แต่มีโอกาสปรับตัวลงแรงได้ทุกเมื่อ เราจึงปรับคำแนะนำเป็น Wait and See และกลับเข้าสะสมกองทุนทองคำอีกครั้งหลังเห็นการปรับตัวลงของราคาทองคำกองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล)
สำหรับกองทุนน้ำมัน เราปรับคำแนะนำเป็นทยอยสะสมกองทุนน้ำมัน โดยจับตาแนวรับที่ 75-80 US$/bbl. กองทุนน้ำมันแนะนำยังคงเป็น K-OIL และ ASP-OIL ของ บลจ.กสิกรไทย และบลจ.Asset Plus ตามลำดับสำ ส่วนการลงทุนระยะยาว เรามองเป็นโอกาสสะสมกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าระยะสั้นจะผันผวนตามตลาดหุ้นโลกภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนและกังวลปัญหาหนี้ในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเรายังคงมองว่าประเทศในกลุ่ม Emerging Market มีการปรับตัวมาพอสมควรหลังวิกฤติเศรษฐกิจรอบก่อน ทำให้มีการพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงยังคงมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับไม่มีปัญหาภาระหนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงฟื้นตัวได้เร็วกว่า ดังนั้น เราจึงมองว่าเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนมากกว่าทางฝั่ง G-3 (สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น) คงคำแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ต่อไป กองทุนที่แนะนำได้แก่ ABGEM และ ABAPAC
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า กองทุนจีนที่แนะนำยังคงเป็น ABCG ทั้งสามกองบริหารโดยบลจ. Aberdeen ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุน นอกจากนี้เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงชอบกองทุน Global Bond Fund ของ บลจ.ธนชาต, บลจ.ทหารไทยและน้องใหม่อย่าง บลจ.ซีไอเอ็มบี ซึ่งทั้งหมดใช้บริการกองทุนหลัก (Master Fund) กองเดียวกัน โดยกองหลักลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและคาดการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของ FED จะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งกองทุนนี้จะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลล่าร์ ในส่วนของตลาดหุ้นไทย แนวโน้ม SETI เป็นขาลงชัดเจน เราคงคำแนะนำเดิมสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุนในปีนี้ ให้รอดูสถานการณ์ และเข้าทยอยสะสมเพิ่มหาก SETI ปรับลดลงมาใกล้แนวรับ 1,040 และ 1,025 จุด โดยกองทุน LTF ที่เเนะนำได้เเก่ KFLTFDIV ที่บริหารโดยบลจ.กรุงศรี และสำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ (Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See ต่อไป
นายสานุพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกดูจะทรงตัวและฟื้นกลับขึ้นมาได้บ้าง นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้แรงหนุนจากการประกาศผลประกอบการที่ดี รวมถึงข่าวการควบรวมกิจการต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากญี่ปุ่นที่ว่า GDP Growth หดตัวน้อยกว่าคาด โดยหดตัวเพียง 0.3% น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 0.7% เเละไตรมาสเเรกที่หดตัว 0.9% เข้ามาช่วยหนุน ขณะที่โบรกเกอร์ชั้นนำหลายแห่ง เช่น Morgan Stanley, Goldman Sachs และ Bank of America Merrill Lynch ต่างปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะถดถอยรอบใหม่ของสหรัฐและยูโรโซน ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาล่าสุดยังคงไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นอีก 9,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขตลาดบ้านและภาคการผลิตที่ยังคงลดลง
ขณะที่ฝั่งยุโรปก็ยังมีเเต่ข่าวลบเช่นกัน เริ่มจาก GDP Growth ของเยอรมันที่ชะลอเกินคาด โดยโตเพียง 0.1% QoQ ในไตรมาส 2/54 จาก 1.3% ในไตรมาสเเรก ขณะที่การประชุมระหว่างเยอรมันและฝรั่งเศสยังไม่มีมาตรการใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ในยูโรโซน อีกทั้งนักลงทุนก็เริ่มกังวลถึงสถานะและความสามารถในการระดมทุนของธนาคารในยุโรป และผลกระทบที่อาจมีต่อภาคการเงินในสหรัฐ