ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.แอสเซทพลัส คาด ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวตามทิศทางการขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะในสหรัฐฯ ขณะที่ ราคาทองคำ ได้ประโยชน์จากความไม่มีเสถียรภาพของสกุลเงินดอลลาร์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด รายงานภาวะการลงทุนในสัปดาห์นี้ว่า ภาวะตลาดหุ้นในตลาดต่างประเทศน่าจะปรับตัวในทิศทางหลังจากที่ผลการทดสอบความเสี่ยงของฐานะการเงิน (Stress test) ของธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรปออกมาดีกว่าที่คาดโดยมีธนาคารขนาดใหญ่ไม่ผ่านการทดสอบเพียง 8 แห่งจาก 90 แห่ง ประกอบกับความคืบหน้าในการเจรจาขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะในสหรัฐฯ โดยคาดว่าดัชนีS&P500 น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,270-1,380 จุด ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 21,500-22,500 จุด
โดยคาดว่าในสัปดาห์นี้ SET Index น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นตามภาวะการเมืองโดยกกต.มีกำหนดจะรับรอง สส.อย่างเป็นทางการในวันที่19 ก.ค.2554 ประกอบกับคาดว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยออกมาน่าจะออกมาค่อนข้างดี นอกจากนั้น ทิศทางของตลาดหุ้นในภูมิภาคยังมีแนวโน้มดีขึ้น โดยคาดว่าSET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,060-1,120 จุด
ขณะที่ภาวะตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกระยะ โดยปรับตัวระหว่าง 5-18basis points พันธบัตรช่วงอายุปานกลาง (3-14 ปี) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด สาเหตุของการปรับตัวขึ้นนั้น เป็นการปรับตัวตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 3.25% ในวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประกอบกับรายงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่ยังคงยืนยันว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีแรงกดดันอยู่อย่างต่อเนื่องสำหรับในสองสัปดาห์ข้างหน้าคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนได้รับข่าวเรื่องแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อไปมากแล้ว
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวระหว่าง 95.15-98.05 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯต่อค่าเงินสกุลหลัก รายงาน GDP ไตรมาสที่ 2 ของจีนเพิ่มขึ้น 9.5% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของ EIA ลดลง 3.2 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.5 ล้านบาร์เรล และเบนเบอร์นันเก้ เผยว่า พร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่ หรือ QE3 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงต่อการถดถอยสำหรับในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า คาดว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะปรับตัวระหว่าง97.24-112.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันระยะยาวยังเป็นขาขึ้นเนื่องจาก การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง
ด้านราคาทองคำ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ1,495.25 มาทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,592.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ในวันที่ 14กรกฎาคม โดยทองคำได้ประโยชน์จากความไม่มีเสถียรภาพของสกุลเงินดอลลาร์จากประเด็นเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งโอบามา และสภาคองเกรสสหรัฐฯ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ ส่งผลให้ S&P เตือนว่ามีโอกาส 50% ที่อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จะถูกปรับลดจากระดับสูงสุด สำหรับในสองสัปดาห์ข้างหน้า ราคาทองคำในระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และมาทดสอบแนวต้านหลักที่บริเวณ 1,534.63-1,604.61 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขจิตวิทยาที่มีโอกาสทำให้ทองคำชะลอตัวลงในช่วงสั้นได้ ประกอบกับประเด็นเรื่อง QE3 ถ้าตลาดลดความคาดหวังเรื่องนี้ลง ก็อาจจะเป็นผลลบต่อราคาทองคำ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด รายงานภาวะการลงทุนในสัปดาห์นี้ว่า ภาวะตลาดหุ้นในตลาดต่างประเทศน่าจะปรับตัวในทิศทางหลังจากที่ผลการทดสอบความเสี่ยงของฐานะการเงิน (Stress test) ของธนาคารขนาดใหญ่ในยุโรปออกมาดีกว่าที่คาดโดยมีธนาคารขนาดใหญ่ไม่ผ่านการทดสอบเพียง 8 แห่งจาก 90 แห่ง ประกอบกับความคืบหน้าในการเจรจาขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะในสหรัฐฯ โดยคาดว่าดัชนีS&P500 น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,270-1,380 จุด ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 21,500-22,500 จุด
โดยคาดว่าในสัปดาห์นี้ SET Index น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นตามภาวะการเมืองโดยกกต.มีกำหนดจะรับรอง สส.อย่างเป็นทางการในวันที่19 ก.ค.2554 ประกอบกับคาดว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยออกมาน่าจะออกมาค่อนข้างดี นอกจากนั้น ทิศทางของตลาดหุ้นในภูมิภาคยังมีแนวโน้มดีขึ้น โดยคาดว่าSET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,060-1,120 จุด
ขณะที่ภาวะตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกระยะ โดยปรับตัวระหว่าง 5-18basis points พันธบัตรช่วงอายุปานกลาง (3-14 ปี) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด สาเหตุของการปรับตัวขึ้นนั้น เป็นการปรับตัวตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 3.25% ในวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประกอบกับรายงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่ยังคงยืนยันว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีแรงกดดันอยู่อย่างต่อเนื่องสำหรับในสองสัปดาห์ข้างหน้าคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนได้รับข่าวเรื่องแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อไปมากแล้ว
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวระหว่าง 95.15-98.05 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯต่อค่าเงินสกุลหลัก รายงาน GDP ไตรมาสที่ 2 ของจีนเพิ่มขึ้น 9.5% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของ EIA ลดลง 3.2 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.5 ล้านบาร์เรล และเบนเบอร์นันเก้ เผยว่า พร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่ หรือ QE3 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงต่อการถดถอยสำหรับในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า คาดว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะปรับตัวระหว่าง97.24-112.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันระยะยาวยังเป็นขาขึ้นเนื่องจาก การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง
ด้านราคาทองคำ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ1,495.25 มาทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,592.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ในวันที่ 14กรกฎาคม โดยทองคำได้ประโยชน์จากความไม่มีเสถียรภาพของสกุลเงินดอลลาร์จากประเด็นเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งโอบามา และสภาคองเกรสสหรัฐฯ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ ส่งผลให้ S&P เตือนว่ามีโอกาส 50% ที่อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จะถูกปรับลดจากระดับสูงสุด สำหรับในสองสัปดาห์ข้างหน้า ราคาทองคำในระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และมาทดสอบแนวต้านหลักที่บริเวณ 1,534.63-1,604.61 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขจิตวิทยาที่มีโอกาสทำให้ทองคำชะลอตัวลงในช่วงสั้นได้ ประกอบกับประเด็นเรื่อง QE3 ถ้าตลาดลดความคาดหวังเรื่องนี้ลง ก็อาจจะเป็นผลลบต่อราคาทองคำ