บลจ.กรุงไทย ขายไอพีโอกองทุนอีทีเอฟ "เคแทม โกลด์อีทีเอฟ แทร็กเกอร์" ชูจุดเด่นซื้อขายแบบเรียลไทม์พร้อมเปิดให้นักลงทุนขายคืน โดยเลือกระหว่างรับเงินหรือทองคำแท่ง 96.5% จากฮั่วเซ่งเฮง พร้อมประเมินการเจรจาขอเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯสำเร็จ มั่นใจราคาทองคำยังทรงตัวระดับสูงต่อไป
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บลจ.จะทำการเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดเคแทม โกลด์อีทีเอฟ แทร็กเกอร์ (GLD) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับราคากองทุนทองคำกองทุนแรกของประเทศไทย โดยจะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 25 - 29 กรกฏาคม 2554 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท กองทุนมีนโยบายเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR?Gold Trust กองทุนอีทีเอฟทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 โดยใช้ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า GLD
สำหรับเด่นของกองทุน GLD คือ ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามกองทุนรวมหลักที่มุ่งสะท้อนราคาทองคำ Spot Gold หลังหักค่าใช้จ่ายของกองทุน โดยให้ความคล่องตัวในการซื้อขายแบบ Real Time ตามราคาในกระดานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยราคาต่อหน่วยคิดเป็นเงินเพียงประมาณ 2 บาทเศษ และสามารถทราบราคาซื้อขายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอราคาปิดสิ้นวันเหมือนกองทุนรวมทองคำอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมั่นใจกับการมีบริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด บริษัทในเครือห้างทองฮั่วเซ่งเฮงเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอีกด้วย
ขณะที่นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า การเจราจาขอปรับเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐฯในขณะนี้แม้ว่ายังไม่ได้ขอยุติ แต่เราเชื่อว่าการขอเพิ่มเพดานหนี้ครั้งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี โดยเรามองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำในช่วงนี้
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยเรายังคงมองไว้ที่ 1,200 จุดเช่นเดิม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาความยนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจในสถานทางการเมือง จึงเทขายหุ้นแล้วหันไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้แทนทำให้มียอดการเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติถึง 100,000 ล้านบาท เรามองว่าหลังจากนี้หุ้นไทยยังมีความผันผวนระหว่างทางบ้างซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติ
สำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่กำลังพุ่งสูงอยู่ในขณะนี้ เรามองว่าปีนี้อาจจะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.5%-3.75% ต่อปี
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ และการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ทิศทางราทองคำที่นักวิเคราะห์ต่างประเทศเช่น จิม โรเจอร์ มองว่าราคาทองจะอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ Credit Suisse ประเมินว่าราคาทองคำในปี 2554 จะอยู่ที่ 1,630ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
นอกจากนี้ Newedge USA LLC มองว่าราคาทองคำในปี 2554 จะอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วน CIBC ประเมินว่าในปี 2555 ราคาทองคำอยู่ที่ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขณะที่ Standard Chartered มองว่าราคาทองคำในปี 2557 จะอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนตั้งปี 2543-2554 ระหว่างการลงทุนในน้ำมัน ตลาดหุ้นไทย และการลงทุนในทองคำจะพบว่า การลงทุนในทองคำสามารถให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 346% ขณะที่การลงทุนในน้ำมันนั้นให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 234% และการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นให้ผลตอบแทนประมาณ 125% ต่อปี
นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมานั้น นอกเหนือจากเหตุที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจด้านต่างๆที่มีมากขึ้นแล้ว ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯที่อาจเปลี่ยนใจมาออกนโยบายเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ หรือ QE3 หลังจากการขยายวงกว้างของวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป รวมถึงความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ยิ่งส่งผลให้ราคาทองคำทะยานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากวิกฤติหนี้สาธารณะยังคงลุกลามต่อเนื่อง ราคาทองคำก็คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการเฝ้าติดตามการเติบโตการลงทุนทองคำในตลาดโลก เห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีและนักลงทุนในประเทศก็ให้ความสนใจที่จะลงทุนในทองคำเป็นอย่างมาก โดยตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็จะร่วมลงทุนในกองทุน GLD นี้ด้วย ซึ่งการจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟทองคำกองแรกของประเทศไทยโดยบลจ. กรุงไทย ในครั้งนี้ คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับราคาทองคำ รวมถึงสินทรัพย์อ้างอิงในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ