ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้จัดการกองทุนมองสวนทางโกลด์แมนแซคส์ ชี้ดัชนีปรับฐาน เป็นโอกาสดีเข้าเก็บหุ้น โดยเฉพาะนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว บลจ.กรุงไทย สังสัญญาณเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม มั่นใจดัชนีกลับไปยืน 1,200 จุดได้สิ้นปีนี้ ด้านบลจ.ทหารไทยมอง เผยยังไม่ปรับพอร์ต ระบุอาจรีบาวน์ได้ในช่วงสั้นๆ ขณะที่ทิศทางตลาดตราสารหนี้ ต่างชาติขายออกแล้วกว่าแสนล้าน นักลงทุนสับสน ต่างชาติไม่ลงทุนต่อแม้ดอลลาร์อ่อนค่า
นายยืนยง เทพจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการลงทุน งานลงทุนในตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่โกลด์แมนแซคส์มีการเทขายหุ้นไทยจำนวนมากนั้นน่าจะมาจากความไม่มั่นใจทางการเมืองไทย ซึ่งในส่วนของนักลงทุนสถาบันเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเก็บหุ้นของนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ทั้งนี้เรายังมองว่าดัชนีฯจะอยู่ที่ 1,200 จุด โดยจะมีแนวรับอยู่ที่ 950 จุดตามเดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมาได้ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านความเลวร้ายไปแล้ว เมื่อความไม่แน่นอนหมดไปตลาดหุ้นก็จะ preform
"เรามองว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะช้อนซื้อหุ้นพื้นฐานดีและมีราคาไม่สูงมาก ซึ่งทางบลจ.กรุงไทยมีแผนจะเก็บหุ้นเพิ่มในช่วงนี้และที่สำคัญเรามองว่าน่าจะเหมาะกับนักลงทุนกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เมื่อมาดูที่ราคาจะเห็นได้ว่าราคาตอนนี้ค่อนข้างถูกกว่าปีที่แล้ว ซึ่งถ้าทยอยลงทุนในช่วงนี้เรามองว่าน่าจะได้โอกาสที่ดีกว่าการลงทุนครั้งเดียวตอนปลายปี"นายยืนยงกล่าว
ส่วนกองทุนประเภททริกเกอร์ฟัดน์นั้นเรามองว่ากองทุนที่ใกล้ครบกำหนดและผลตอบแทนที่ตั้งเป้าหมายไว้นั้นก็คงจะลำบากหน่อย แต่หากเป็นกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่เพิ่งจัดตั้งอาจจะได้เปรียบในแง่ของการลงทุน อย่างเช่นกองทุนเปิดกรุงไทย 8 เอ็ม 8% ทริกเกอร์ ฟันด์ 3 ที่เพิ่งเปิดขายไอพีโอไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 70% และ 30% เป็นเงินสดเราอาจจะมีการปรับพอร์ตเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกด้วย
อย่างไรก็ตามในช่วง 1-2 เดือนนี้ปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะเรื่องการเมืองไทยจะเป็นตัวเคลื่อนไหวที่สำคัญมากกว่าปัจจัยภายนอกเช่นปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือปัญหาเรื่องหนี้เสียในยุโรป ทั้งนี้หากปัญหาการเมืองคลี่คลายและเป็นไปตามที่ระบบเราเชื่อว่าตลาดหุ้นก็จะกลับขึ้นมายืนที่ 1,200 จุดภายในสิ้นปีนี้
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า จากการที่ โกลด์แมนแซคส์ ได้แนะให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นไทยในสัดส่วนที่น้อยลงนั้น เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้ให้ผลกำไรที่มากแล้ว ขณะเดียวกัน สถานการร์เศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป ยังมีปัญหาอยู่ รวมไปถึงมีปัจจัยในเรื่องของการเลือกตั้งในประเทศไทยด้วย ดังนั้น โกลด์แมนแซคส์ จึงระบุออกมาว่า ให้ ลดการถือหุ้นไทยในช่วงนี้ไปก่อน จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมามากจากข่าวดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนหุ้นของ บลจ. ทหารไทยนั้น เป็นการลงทุนในแบบ PASSIVE โดยยังลงทุนในหุ้นเต็มจำนวน และให้ผลตอบแทนไปตามดัชนี ตลาดหุ้นไทย ดังนั้น กองทุนหุ้นของบริษัท จึงไม่ได่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้ ยังระบุด้วยว่า หุ้นไทยในช่วงนี้ อาจจะรีบาวน์ได้ในช่วงสั้นๆ แต่ในช่วงระยะสั้นนี้นักลงทุนต่างชาติ ที่เพิ่มเทขายหุ้นไปนั้นยังคงไม่กลับเข้ามา โดยหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต้องมาจากแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเองเป็นหลัก
ตลาดบอนด์เงินไหลออกกว่าแสนล้าน
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของตลาดตราสารหนี้เอง พบว่ามีสัญญาณเงินไหลออกเช่นเดียวกัน โดยจากตัวเลขเงินลงทุนสุงสุดในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่มีสัดส่วนลงทุนรวมประมาณ 4.8 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ 3.68 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นการลดลงถึง 1.1 แสนล้านบาททีเดียว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่นักลงทุนเหล่านี้ มีการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งเมื่อครบอายุการลงทุนแล้ว พบว่าไม่มีการลงทุนต่อ ดังนั้น สัดส่วนการลงทุนจึงไม่คงที่เหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตนค่อนข้างสับสนกับภาพการลงทุนที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เนื่องจากปัจจุบันเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในทิศทางที่อ่อนค่าลง ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ประเภททองคำ น้ำมัน รวมถึงการลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ด้วย แต่ในขณะนี้ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่า แต่สินทรัพย์ดังกล่าวกลับแย่ลงไปตามๆ กัน ซึ่งรวมถึงตลาดตราสารหนี้เองด้วย
นายยืนยง เทพจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการลงทุน งานลงทุนในตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่โกลด์แมนแซคส์มีการเทขายหุ้นไทยจำนวนมากนั้นน่าจะมาจากความไม่มั่นใจทางการเมืองไทย ซึ่งในส่วนของนักลงทุนสถาบันเรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเก็บหุ้นของนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ทั้งนี้เรายังมองว่าดัชนีฯจะอยู่ที่ 1,200 จุด โดยจะมีแนวรับอยู่ที่ 950 จุดตามเดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมาได้ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านความเลวร้ายไปแล้ว เมื่อความไม่แน่นอนหมดไปตลาดหุ้นก็จะ preform
"เรามองว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะช้อนซื้อหุ้นพื้นฐานดีและมีราคาไม่สูงมาก ซึ่งทางบลจ.กรุงไทยมีแผนจะเก็บหุ้นเพิ่มในช่วงนี้และที่สำคัญเรามองว่าน่าจะเหมาะกับนักลงทุนกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เมื่อมาดูที่ราคาจะเห็นได้ว่าราคาตอนนี้ค่อนข้างถูกกว่าปีที่แล้ว ซึ่งถ้าทยอยลงทุนในช่วงนี้เรามองว่าน่าจะได้โอกาสที่ดีกว่าการลงทุนครั้งเดียวตอนปลายปี"นายยืนยงกล่าว
ส่วนกองทุนประเภททริกเกอร์ฟัดน์นั้นเรามองว่ากองทุนที่ใกล้ครบกำหนดและผลตอบแทนที่ตั้งเป้าหมายไว้นั้นก็คงจะลำบากหน่อย แต่หากเป็นกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่เพิ่งจัดตั้งอาจจะได้เปรียบในแง่ของการลงทุน อย่างเช่นกองทุนเปิดกรุงไทย 8 เอ็ม 8% ทริกเกอร์ ฟันด์ 3 ที่เพิ่งเปิดขายไอพีโอไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 70% และ 30% เป็นเงินสดเราอาจจะมีการปรับพอร์ตเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกด้วย
อย่างไรก็ตามในช่วง 1-2 เดือนนี้ปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะเรื่องการเมืองไทยจะเป็นตัวเคลื่อนไหวที่สำคัญมากกว่าปัจจัยภายนอกเช่นปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือปัญหาเรื่องหนี้เสียในยุโรป ทั้งนี้หากปัญหาการเมืองคลี่คลายและเป็นไปตามที่ระบบเราเชื่อว่าตลาดหุ้นก็จะกลับขึ้นมายืนที่ 1,200 จุดภายในสิ้นปีนี้
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า จากการที่ โกลด์แมนแซคส์ ได้แนะให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นไทยในสัดส่วนที่น้อยลงนั้น เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้ให้ผลกำไรที่มากแล้ว ขณะเดียวกัน สถานการร์เศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป ยังมีปัญหาอยู่ รวมไปถึงมีปัจจัยในเรื่องของการเลือกตั้งในประเทศไทยด้วย ดังนั้น โกลด์แมนแซคส์ จึงระบุออกมาว่า ให้ ลดการถือหุ้นไทยในช่วงนี้ไปก่อน จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมามากจากข่าวดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนหุ้นของ บลจ. ทหารไทยนั้น เป็นการลงทุนในแบบ PASSIVE โดยยังลงทุนในหุ้นเต็มจำนวน และให้ผลตอบแทนไปตามดัชนี ตลาดหุ้นไทย ดังนั้น กองทุนหุ้นของบริษัท จึงไม่ได่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้ ยังระบุด้วยว่า หุ้นไทยในช่วงนี้ อาจจะรีบาวน์ได้ในช่วงสั้นๆ แต่ในช่วงระยะสั้นนี้นักลงทุนต่างชาติ ที่เพิ่มเทขายหุ้นไปนั้นยังคงไม่กลับเข้ามา โดยหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต้องมาจากแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเองเป็นหลัก
ตลาดบอนด์เงินไหลออกกว่าแสนล้าน
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของตลาดตราสารหนี้เอง พบว่ามีสัญญาณเงินไหลออกเช่นเดียวกัน โดยจากตัวเลขเงินลงทุนสุงสุดในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่มีสัดส่วนลงทุนรวมประมาณ 4.8 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ 3.68 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นการลดลงถึง 1.1 แสนล้านบาททีเดียว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่นักลงทุนเหล่านี้ มีการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งเมื่อครบอายุการลงทุนแล้ว พบว่าไม่มีการลงทุนต่อ ดังนั้น สัดส่วนการลงทุนจึงไม่คงที่เหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตนค่อนข้างสับสนกับภาพการลงทุนที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เนื่องจากปัจจุบันเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในทิศทางที่อ่อนค่าลง ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ประเภททองคำ น้ำมัน รวมถึงการลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ด้วย แต่ในขณะนี้ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่า แต่สินทรัพย์ดังกล่าวกลับแย่ลงไปตามๆ กัน ซึ่งรวมถึงตลาดตราสารหนี้เองด้วย