รายงานพิเศษ
โดย เขมรัฐ เทพบุรี
WORLS_SRIARIYA@HOTMAIL.COM
"การแข่งขัน..เป็นกลไกของการตลาด แต่เป็นศัตรูตัวฉกาจของผลกำไร"
เหลืออีกประมาณ 1 เดือนเศษ ก็จะเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ของประเทศไทย ในวันที่ 3 กรกรฎาคม 2554 และก็จะรู้ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ดังนั้นในช่วงระหว่างนี้เราก็จะเห็นการป่าวประกาศตะโกนหาเสียง เดินไปถึงเนื้อถึงตัวประชาชน ของบรรดาผู้สมัครจากพรรคการเมืองทั้งหลาย ด้วยการชูนโยบายการบริหารประเทศของตนเองเมื่อได้เป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ ที่เป็นคู่แข่งกันระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่มี แคนดิเดท นายกรัฐมนตรี อย่าง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีกระแสข่าวตามมาว่าอาจจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในภายหลังหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
แน่นอนว่า การเลือกครั้งนี้มีการแข่งขันสูงและรุนแรงมาก เพราะพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 ก็ต้องการที่จะเป็นรัฐบาลในหารบริหารประเทศเพื่อหวังผลทางการเมืองด้วยกัน จึงเป็นที่จับตามองกันอย่างมากว่า เมื่อได้รัฐบาลแล้ว ประเทศไทยจะเกิดความวุ่ยวายหรือไม่ นี่เป็นคำถามที่เกิดขึ้นอยู่ช่วงเวลานี้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ทุกภาคส่วนเหมือนจะรับรู้กันโดยทั่วไปว่า "ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลด้วยกันทั้งคู่" ความน่าเป็นห่วงต่อประเทศและเศรษฐกิจจึงตามมาในเวลาเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องได้รัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศอย่างแน่นอนไม่ว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นคนเดิมหรือจะได้นายกหญิงคนแรกของประเทศไทย นั่นคือ "เป้าหมาย" ของการเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้น และก็เป็น "เป้าหมาย" ของทุกพรรคการเมืองที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล เพื่อ "เป้าหมาย" ที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองรออยู่
ครับ..... ต้องขอเริ่มต้นกันที่เรื่องของการบ้านการเมืองกันสักนิด เพราะการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ถือเป็นเรื่องสำคัญของคนทั้ง ที่อยู่ในระบบประชาธิปไตยที่เราต้องออกไปใช้สิทธิ เพื่อเลือก"คนดี" เข้ามาทำผลประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่ใช่เลือกพรรคการเมืองที่เลวน้อยที่สุด ซึ่งไม่ถูกต้องเลย กับคำว่า เลวน้อยที่สุด เพราะมันไม่ควรที่จะเป็นไปได้เมื่อต้องไปอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
มาที่เรื่องของการลงทุนกันครับ สำหรับการลงทุนในระยะนี้ ที่กำลังเป็น เทรนด์ อยู่คือ การลงทุนระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือน ไม่เกิน 1 ปี ส่วนใหญ่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาก็เป็นการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดีในยามดอกเบี้ยปรับขึ้น รวมถึงกองทุนประเภมเทอม ฟันด์ อายุประมาณ 3-6 เดือน ที่นักลงทุนค่อนส่วนใหญ่ข้างชอบ พร้อมๆไปกับการที่แบงก์ต่างๆ ระดมเงินฝากโดยให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า
เช่นเดียวกันครับ "เทรนด์" การลงทุนในช่วงนี้ของกองทุนรวม ก็เป็นการลงทุนที่มี "เป้าหมาย" เช่นเดียวกันพรรคการเมืองครับ....แต่เป็นเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุน โดยจะเห็นได้ว่า กองทุนรวมในช่วงนี้ ได้การออกกองทุน ประเภท "ทาร์เก็ต ฟันด์" มากเรื่อย ทั้งที่ลงทุนในประเทศและต่างประเทศโดยส่วนใหญ่ ก็เป็นกองทุน ทาร์เก็ต ฟันด์ ที่มีอายุ ไม่เกิน 1 ปี ที่วางเป้าผลตอบแทนไว้ที่ประมาณ 10%
เนื่องจากผู้จัดการกองทุน มองว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีความผันผวนในช่วงสั้นๆ จากปัจจัยในต่างประเทศในเรื่องความเป็นห่วงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE2 ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน จะทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯหายไปหรือไม่และเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ด้วยตัวเองหรือไม่ รวมไปถึง เรื่องวิกฤตหนี้เสียของกรีซ ที่อาจะลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป และก็มองว่าในช่วงปลายปีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปอีก
โดย รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด นางสาว โศภนา เจนบวร ระบุว่า การที่ตลาดหุ้นลงมาอยู่ในระดับนี้จากระดับ 1,100 จุดนั้น ถือว่าหุ้นที่น่สนใจหลายตัวมีราคาถูกแล้ว เชื่อว่าในช่วงสิ้นปีเองดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1,200 จุดได้ ซึ่ง บลจ.ไทยพาณิชย์ก็ออกกองทุน "ไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 1 (SCB TRIGGER7% FUND 1) อายุ 7 เดือน ตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ที่ 7% และปิดกองทุนทันที่ได้มูลค่าหน่วยลทุนเท่ากับหรือมากก่า 10.82 บาท/หน่วย เป็นเวลา 3วันทำการติดต่อกัน บริษัทจะซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า10.70 บาท/หน่วย
ขณะที่ บลจ.ยูโอบี ก็ส่ง "ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 5" (UOBSS5) อายุ 1ปี ออกมาเป็นกองที่ 5 หลังจากกองทุนก่อนหน้านี้ "สไตรค์"รวดทั้ง 4 กอง ซุปเปอร์ สไตรค์ 5 เลิกกองทุนทันทีหากมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.85 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน และจะซื้อคืนอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยไม่ต่ำกว่า 10.70 บาทต่อหน่วย
ซึ่งผู้บริหารใหญ่อย่าง คุณวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับราคาที่ไม่แพง เมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโตของผลกำไร ณ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่สัดส่วนราคาต่อกำไร (PE ratio) 12 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ 12.6 เท่า แต่หุ้นไทยมีการเติบโตของผลกำไรร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 17 และในที่ผ่านมาในอดีตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายที่เราคาดหวังว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปถึงได้ภายในสิ้นปีนี้
เช่นเดียวกับ บลจ. อยุธยา ที่ออก กองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 10% ทาร์เก็ต 7 (KFEQ10-7) ตั้งเป้าผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มประมาณ10% หรือไม่ต่ำกว่า 11.11 บาทต่อหน่วย ภาย 1 ปี
ส่วนทางด้าน บลจ. ทหารไทย นั้น เลือกบุกตลาดต่างประเทศ ออกกองทุนทาร์เก็ต ฟันด์ "ทหารไทย ยูเอส ทริกเกอร์" เลิกกองทุนและรับซื้อหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทันที เมื่อกองทุนได้ผลตอบแทน 10 % หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 11.20 บาทต่อหน่วย ภายใน 1 ปี ซึ่งกองทุน เน้นลงทุนในหุ้น คุณภาพในตลาดหุ้นของสหรัฐฯ และแคนาดา
ครับ.....นั่นคือกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ ที่กำลังเป็น เทรนด์ และเป็นจังหวะของการลงทุนในช่วงนี้ เป็นทางเลือกและโอกาสของนักลงทุนทั้งหลายเพื่อ "เป้าหมาย" นั่นคือผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงน้อย
แต่อยากจะขอเกี่ยวโยงถึงเรื่องของการเมืองสักนิดนะครับว่า.......สำหรับประเทศ ในช่วงระยะที่ผ่านมานี้ ปัจจัยหนึ่งที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างชัดเจนที่สุดคือเรื่องของการเมือง จากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมา สูญเสียทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีต่อประเทศนั้น ยังคงเป็นที่เฝ้ามองกันจากทุกภาคส่วนว่า หลังจากได้รัฐบาลแล้วจะมีอะไรที่วุ่นวายตามาอีกหรือไม่...
ดังนั้น แน่นอนว่า การลงทุนต่างๆ ย่อมรับอาสิงส์จากความสงบและความไม่สงบอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแล้วการลงทุนที่วางเป้าอย่างชัดเจน และหลบหลีกปัจจัยเสี่ยงๆจากฝากฝั่งทางการเมืองในเวลานี้ ดูเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางการเมืองของบ้านเรา เพราะแม้ว่าทุกรัฐบาลจะให้ความสำคัญและสนับสนุนการลงทุน แต่เมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองขึ้นมา (อาจจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่) ทุกครั้งไปที่ภาคการลงทุนและภาคธุรกิจต่างๆ ก็รับผลกระทบตามๆ กันไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ประเภทธุรกิจ และเมื่อรูปแบบทางการเมืองของประเทศไทยที่ยังมี "เป้าหมาย" ส่อแววไปในทางไม่แน่นอนหรืออาจจะมีความวุ่ยวายเกิดขึ้นได้นั้น "เป้าหมาย" ของการลงทุนจึงยิ่งต้องใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้มากและควรเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและยั่งยืน...ครับ
โดย เขมรัฐ เทพบุรี
WORLS_SRIARIYA@HOTMAIL.COM
"การแข่งขัน..เป็นกลไกของการตลาด แต่เป็นศัตรูตัวฉกาจของผลกำไร"
เหลืออีกประมาณ 1 เดือนเศษ ก็จะเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ของประเทศไทย ในวันที่ 3 กรกรฎาคม 2554 และก็จะรู้ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ดังนั้นในช่วงระหว่างนี้เราก็จะเห็นการป่าวประกาศตะโกนหาเสียง เดินไปถึงเนื้อถึงตัวประชาชน ของบรรดาผู้สมัครจากพรรคการเมืองทั้งหลาย ด้วยการชูนโยบายการบริหารประเทศของตนเองเมื่อได้เป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ ที่เป็นคู่แข่งกันระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่มี แคนดิเดท นายกรัฐมนตรี อย่าง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีกระแสข่าวตามมาว่าอาจจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในภายหลังหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
แน่นอนว่า การเลือกครั้งนี้มีการแข่งขันสูงและรุนแรงมาก เพราะพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 ก็ต้องการที่จะเป็นรัฐบาลในหารบริหารประเทศเพื่อหวังผลทางการเมืองด้วยกัน จึงเป็นที่จับตามองกันอย่างมากว่า เมื่อได้รัฐบาลแล้ว ประเทศไทยจะเกิดความวุ่ยวายหรือไม่ นี่เป็นคำถามที่เกิดขึ้นอยู่ช่วงเวลานี้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ทุกภาคส่วนเหมือนจะรับรู้กันโดยทั่วไปว่า "ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลด้วยกันทั้งคู่" ความน่าเป็นห่วงต่อประเทศและเศรษฐกิจจึงตามมาในเวลาเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องได้รัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศอย่างแน่นอนไม่ว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นคนเดิมหรือจะได้นายกหญิงคนแรกของประเทศไทย นั่นคือ "เป้าหมาย" ของการเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้น และก็เป็น "เป้าหมาย" ของทุกพรรคการเมืองที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล เพื่อ "เป้าหมาย" ที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองรออยู่
ครับ..... ต้องขอเริ่มต้นกันที่เรื่องของการบ้านการเมืองกันสักนิด เพราะการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ถือเป็นเรื่องสำคัญของคนทั้ง ที่อยู่ในระบบประชาธิปไตยที่เราต้องออกไปใช้สิทธิ เพื่อเลือก"คนดี" เข้ามาทำผลประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่ใช่เลือกพรรคการเมืองที่เลวน้อยที่สุด ซึ่งไม่ถูกต้องเลย กับคำว่า เลวน้อยที่สุด เพราะมันไม่ควรที่จะเป็นไปได้เมื่อต้องไปอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
มาที่เรื่องของการลงทุนกันครับ สำหรับการลงทุนในระยะนี้ ที่กำลังเป็น เทรนด์ อยู่คือ การลงทุนระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือน ไม่เกิน 1 ปี ส่วนใหญ่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาก็เป็นการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดีในยามดอกเบี้ยปรับขึ้น รวมถึงกองทุนประเภมเทอม ฟันด์ อายุประมาณ 3-6 เดือน ที่นักลงทุนค่อนส่วนใหญ่ข้างชอบ พร้อมๆไปกับการที่แบงก์ต่างๆ ระดมเงินฝากโดยให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า
เช่นเดียวกันครับ "เทรนด์" การลงทุนในช่วงนี้ของกองทุนรวม ก็เป็นการลงทุนที่มี "เป้าหมาย" เช่นเดียวกันพรรคการเมืองครับ....แต่เป็นเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุน โดยจะเห็นได้ว่า กองทุนรวมในช่วงนี้ ได้การออกกองทุน ประเภท "ทาร์เก็ต ฟันด์" มากเรื่อย ทั้งที่ลงทุนในประเทศและต่างประเทศโดยส่วนใหญ่ ก็เป็นกองทุน ทาร์เก็ต ฟันด์ ที่มีอายุ ไม่เกิน 1 ปี ที่วางเป้าผลตอบแทนไว้ที่ประมาณ 10%
เนื่องจากผู้จัดการกองทุน มองว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีความผันผวนในช่วงสั้นๆ จากปัจจัยในต่างประเทศในเรื่องความเป็นห่วงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE2 ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน จะทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯหายไปหรือไม่และเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ด้วยตัวเองหรือไม่ รวมไปถึง เรื่องวิกฤตหนี้เสียของกรีซ ที่อาจะลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป และก็มองว่าในช่วงปลายปีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปอีก
โดย รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด นางสาว โศภนา เจนบวร ระบุว่า การที่ตลาดหุ้นลงมาอยู่ในระดับนี้จากระดับ 1,100 จุดนั้น ถือว่าหุ้นที่น่สนใจหลายตัวมีราคาถูกแล้ว เชื่อว่าในช่วงสิ้นปีเองดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1,200 จุดได้ ซึ่ง บลจ.ไทยพาณิชย์ก็ออกกองทุน "ไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 1 (SCB TRIGGER7% FUND 1) อายุ 7 เดือน ตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ที่ 7% และปิดกองทุนทันที่ได้มูลค่าหน่วยลทุนเท่ากับหรือมากก่า 10.82 บาท/หน่วย เป็นเวลา 3วันทำการติดต่อกัน บริษัทจะซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า10.70 บาท/หน่วย
ขณะที่ บลจ.ยูโอบี ก็ส่ง "ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 5" (UOBSS5) อายุ 1ปี ออกมาเป็นกองที่ 5 หลังจากกองทุนก่อนหน้านี้ "สไตรค์"รวดทั้ง 4 กอง ซุปเปอร์ สไตรค์ 5 เลิกกองทุนทันทีหากมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.85 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน และจะซื้อคืนอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยไม่ต่ำกว่า 10.70 บาทต่อหน่วย
ซึ่งผู้บริหารใหญ่อย่าง คุณวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับราคาที่ไม่แพง เมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโตของผลกำไร ณ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่สัดส่วนราคาต่อกำไร (PE ratio) 12 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ 12.6 เท่า แต่หุ้นไทยมีการเติบโตของผลกำไรร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 17 และในที่ผ่านมาในอดีตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายที่เราคาดหวังว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปถึงได้ภายในสิ้นปีนี้
เช่นเดียวกับ บลจ. อยุธยา ที่ออก กองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 10% ทาร์เก็ต 7 (KFEQ10-7) ตั้งเป้าผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มประมาณ10% หรือไม่ต่ำกว่า 11.11 บาทต่อหน่วย ภาย 1 ปี
ส่วนทางด้าน บลจ. ทหารไทย นั้น เลือกบุกตลาดต่างประเทศ ออกกองทุนทาร์เก็ต ฟันด์ "ทหารไทย ยูเอส ทริกเกอร์" เลิกกองทุนและรับซื้อหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทันที เมื่อกองทุนได้ผลตอบแทน 10 % หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 11.20 บาทต่อหน่วย ภายใน 1 ปี ซึ่งกองทุน เน้นลงทุนในหุ้น คุณภาพในตลาดหุ้นของสหรัฐฯ และแคนาดา
ครับ.....นั่นคือกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ ที่กำลังเป็น เทรนด์ และเป็นจังหวะของการลงทุนในช่วงนี้ เป็นทางเลือกและโอกาสของนักลงทุนทั้งหลายเพื่อ "เป้าหมาย" นั่นคือผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงน้อย
แต่อยากจะขอเกี่ยวโยงถึงเรื่องของการเมืองสักนิดนะครับว่า.......สำหรับประเทศ ในช่วงระยะที่ผ่านมานี้ ปัจจัยหนึ่งที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างชัดเจนที่สุดคือเรื่องของการเมือง จากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมา สูญเสียทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีต่อประเทศนั้น ยังคงเป็นที่เฝ้ามองกันจากทุกภาคส่วนว่า หลังจากได้รัฐบาลแล้วจะมีอะไรที่วุ่นวายตามาอีกหรือไม่...
ดังนั้น แน่นอนว่า การลงทุนต่างๆ ย่อมรับอาสิงส์จากความสงบและความไม่สงบอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแล้วการลงทุนที่วางเป้าอย่างชัดเจน และหลบหลีกปัจจัยเสี่ยงๆจากฝากฝั่งทางการเมืองในเวลานี้ ดูเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางการเมืองของบ้านเรา เพราะแม้ว่าทุกรัฐบาลจะให้ความสำคัญและสนับสนุนการลงทุน แต่เมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองขึ้นมา (อาจจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่) ทุกครั้งไปที่ภาคการลงทุนและภาคธุรกิจต่างๆ ก็รับผลกระทบตามๆ กันไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ประเภทธุรกิจ และเมื่อรูปแบบทางการเมืองของประเทศไทยที่ยังมี "เป้าหมาย" ส่อแววไปในทางไม่แน่นอนหรืออาจจะมีความวุ่ยวายเกิดขึ้นได้นั้น "เป้าหมาย" ของการลงทุนจึงยิ่งต้องใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้มากและควรเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและยั่งยืน...ครับ