บลจ.ไทยพาณิชย์ มองหุ้นไทยผันผวนต่อถึงเดือนหน้า เหตุนักลงทุนยังกังวล 2 ปัจจัยหลัก ทั้งการครบกำหนดมาตรการ QE2 และปัญหาหนี้เสียของกรีซ ระบุราคาปรับฐานเป็นจังหวะดี มั่นใจสิ้นปีดัชนีวิ่งถึง 1200 จุด ล่าสุด ส่งทาร์เก็ตฟันด์ไล่เก็บ ล็อคเป้า 7เดือน 7% ขายไอพีโอถึง 31 พ.ค.นี้
นางสาวโศภนา เจนบวร รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงนี้คงมาจากสองปัจจัยหลัก นั่นคือความเป็นห่วงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรอบที่2ของสหรัฐหรือ QE2 ที่จะจบลงในเดือนมิถุนายน ว่าจะทำให้สภาพคล่องในระบบหายไปหรือไม่ และปัจจัยที่สองคือ ความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้เสียของกรีซ ที่อาจจะลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป
ทั้งนี้ จากความเสี่ยงทั้งสองปัจจัยดังกล่าว รวมถึงการรอผลการเลือกตั้งในประเทศด้วย ส่งผลให้ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนจากเดือนนี้ไปจนถึงเดือนหน้า แต่ความผันผวนดังกล่าวเรามองว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่ดี เพราะการที่ดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ในระดับราว 1050 จุด จากที่ขึ้นไปสูงสุด 1109.92 จุดในช่วงวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวลงมานี้ราคาหุ้นหลายตัวอาจปรับลงลึกเกินกว่าที่ควรจะเป็น จึงมองว่าเป็นจังหวะลงทุนที่ควรทยอยสะสมเลือกลงทุนหุ้นที่พื้นฐานดีที่แนวโน้มผลกำไรเติบโตสูง จ่ายเงินปันผลดีในปีนี้
"การที่ตลาดหุ้นลงมาอยู่ในระดับนี้ จากดัชนี 1100 จุด หรือปรับลดลงมาประมาณ 5% ถือว่าหุ้นที่น่าสนใจหลายตัวราคาถูกมากแล้ว ซึ่งเราเองเชื่อว่าในช่วงสิ้นปีเองดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1200 จุดได้ ดังนั้น จังหวะนี้เป็นโอกาสลงทุนที่ดี ซึ่งหากสองปัจจัยดังกล่าวคลี่คลายแล้ว ก็เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะเด้งขึ้นทันที ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติเอง ก็จะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือเป็นตลาดที่ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาคด้วย "นางสาวโศภนากล่าว
ล่าสุด บริษัทได้เปิดขายกองทุนใหม่ "ไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 1 (SCB TRIGGER7% FUND 1) อายุประมาณ 7 เดือนโดยจะเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีศักยภาพในการเติบโตผสมกับตราสารหนี้และเงินฝาก ด้วยมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาทโดยจะเปิดขายระหว่างวันที่ 24-31 พฤษภาคม 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท
ทั้งนี้ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 1มีจุดเด่นที่กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 7%และสามารถปิดกองทุนได้ก่อนกำหนดภายใน 7 เดือนโดยเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเท่ากับหรือมากกว่า 10.82 บาท/หน่วย เป็นเวลา 3วันทำการติดต่อกันบริษัทจะซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า10.70 บาท/หน่วย โดยผู้จัดการกองทุนจะคอยจับจังหวะการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย นอกจากนี้ยังมีปรับน้ำหนักการลงทุนและเงินสดให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนในแต่ละขณะและอาจใช้ SET50 Index futures เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดขาลง
สำหรับกลยุทธ์การบริหารกองทุนจะเน้นเชิงรุกโดยจัดสรรน้ำหนักการลงทุนและการคัดสรรหุ้น(Active and focus) เพื่อลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีมีการเติบโตสูงและได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการขยายปริมาณความต้องการในประเทศ อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอาหารและพลังงาน เป็นต้น
นางสาวโศภนากล่าวต่อว่า ในส่วนของปัจจัยการเมือง มองว่าในท้ายที่สุดไม่ว่าพรรคไหนจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ก็น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะถือเป็นตัวแทนของภาคเศรษฐกิจของประเทศที่ทุกรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตามในระยะสั้นปัจจัยการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่
ผลงานกองทุนหุ้นเริ่มฟื้น
นางสาวโศภนากล่าวว่า ภายหลังจากเข้ามาบริหารกองทุนหุ้นของบลจ.ไทยพาณิชย์ประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา พบว่าผลการดำเนินงานของกองทุนในระยะสั้นเริ่มสะท้อนให้เห็นพัฒนาการในเชิงบวกขึ้นอย่างชัดเจน โดยยังคงเป้าหมายที่จะดึงผลตอบแทนของกองทุนหุ้นให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่มควอไทล์ที่1 ให้ได้ ทั้งนี้ บริษัทได้มีการสร้างทีมงานขึ้นมารวม 11 คน โดยมีผู้จัดการกองทุน 6 คน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนอีก 4 คน เพื่อดูแลในส่วนของการลงทุนในหุ้น โดยเน้นการสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในกลุ่มธุรกิจของหุ้นให้กับทีมงาน ที่จะต้องดูและรับผิดชอบกลุ่มหุ้นที่ได้รับมอบหมายตลอดจนการไปเยี่ยมชมกิจการ (Company Visit) เพื่อกลับมาทำบทวิเคราะห์ของตัวเองเพื่อจะหาโอกาสในการลงทุนที่แตกต่าง และเป็นการใช้บทวิจัยภายในที่ทำขึ้นเองเช็คกับข้อมูลจากภายนอกประกอบกันไปด้วย ซึ่งปัจจุบันมีการดูหุ้นครอบคลุมขนาดมูลค่าตลาดรวมประมาณ 80%
โดยภายหลังจากทำงานร่วมกันระหว่างทีมงาน ก็สามารถแบ่งโมเดลหุ้นออกเป็น 3 รูปแบบ นั่นคือ1 โมเดล Selective Model ที่เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มจะเอาท์เพอร์ฟอร์มตลาด 2 โมเดล Growth Stock เลือกหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรสูงหรือหุ้นที่จะเทิร์นอราวนด์ และ 3 High Dividend เน้นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ โดยการมีทีมงานที่พร้อมและระบบที่พร้อมก็ทำให้บริษัทมีข้อมูลหุ้นไว้ใช้ในการคัดเลือกหุ้นเพื่อลงทุนให้เหมาะสมกับโมเดลการลงทุนต่างๆ ซึ่งเชื่อมั่นว่าในระยะยาวจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้อย่างแน่นอน