บลจ.กรุงไทย ปลื้มกระแสการตอบรับกองทุน"ดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า" ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเทรดสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของกองทุนอีทีเอฟ ล่าสุดเตรียมส่งกองทุนอีทีเอฟเพิ่มรับดีมาน์นักลงทุนในอนาคต
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กระแสการตอบรับกองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า (CHINA) ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากโดยพื้นฐานของเศรษฐกิจของจีนยังมีอัตราการเติบโตที่ดี แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมปัญหาหาเงินเฟ้อของจีนอยู่บ้าง แต่หากมองในระยะยาวหุ้นจีนยังถือว่ามีความน่าสนใจ ทั้งนี้อัตราการซื้อขายกองทุนCHINA สูงเป็นอันดับที่ 2 ของกองทุน ETF ที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งทางบลจ.กรุงไทยเองก็มีแผนที่จะมีเปิดขายกองทุนอีทีเอฟด้วยเช่นกัน ซึ่งคงต้องใช้เวลาพิจารณาสินทรัพย์ที่จะลงทุนก่อนว่าเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่
ขณะที่รายงานจากฝ่ายวิจัย บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์ นั้นเรามองว่าจะมีปริมาณการซื้อขายที่ซบเซาในช่วงต้นเดือน เนื่องจากอยู่ในช่วงวันหยดยาวของหลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชียเพื่อฉลองเทศกาลตรุษจีน จากนั้นจะมีทิศทางที่ผันผวนตามการเกร็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะชะลอแรงขาย ทำให้ดัชนีฯมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 925-1,000 จุด คาดว่าดัชนีจะมีทิศทาง Sideway เพื่อรอปัจจัยใหม่มากำหนดทิศทาง โดยเฉพาะความชัดเจนของการเลือกตั้งใหม่ภายในประเทศ นอกจากนี้ควรจับตาทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หากอ่อนค่าลงก็จะทำให้เม็ดเงินต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งได้
ส่วนทิศทางการลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น ปัจจัยสำคัญจะอยู่ที่อัตราเงินเฟ้อซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะตัวที่มีอายุยาว เนื่องจากในเดือนนี้ไม่มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ดังนั้นถ้าราคาน้ำมันดิบโลกยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อระดับราคาสินค้าในประเทศอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้และนำมาซึ่งความคาดหวังของเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็จะทำให้ลักษณะของเส้นอัตราผลตอบแทนชันขึ้นกว่าเดิม สำหรับมูลค่าการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้แนวโน้มราคาทองคำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในอียิปต์และตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น รวมทั้งอุปสงค์ที่สูงขึ้นในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน และปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรปแม้ว่าจะมีแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนขึ้นแต่กลุ่มประเทศยุโรปอาจต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้่น แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นปัจจัสำคัญที่กดดันราคาทองคำได้
ทั้งนี้คณะกรรมการการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554 มีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับรอดการดำเนินงาน 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2553 สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน ประเภท ก. เท่ากับ 0.35 บาทต่อหน่วยลงทุน และผู้ถือหน่วยลงทุน ประเภท ข. เท่ากับ 0.5167 บาทต่อหน่วยลงทุน โดยหน่วยลงทุน ก. ซึ่งมีประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลทั่วไปเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน จำนวน 7,000 ล้านหน่วยลงทุน และหน่วยลงทุนประเภท ข. ซึ่งมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหน่วย จำนวน 3,000 ล้านหน่วยลงทุน โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 2 มีนาคม 2554 อีกด้วย