บลจ.กรุงไทย วางเป้าเอยูเอ็มปีกระต่ายขอโต 16% แซงหน้าอุตสหกรรมกองทุนที่คาดว่าจะโตเพียง 8-10% พร้อมปรับเเผนกลยุทธ์เจาะนักลงทุนรายย่อยเพิ่มหลังปีที่ผ่านมาได้นักลงทุนสถาบันสูงถึง 80% ของเอยูเอ็มทั้งหมด
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กรุงไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร(AUM)อยู่ที่ประมาณ 371,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 16% จากปีก่อนที่อยู่ราว 320,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่เราคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 8-10%
อย่างไรก็ตามในปีนี้เราตั้งเป้าว่ากองทุนรวมจะเติบโตอีกประมาณ 30,000 ล้านบาท หรือ 20% จากปีก่อนประมาณ 150,000ล้านบาท ส่วนกองทุนส่วนบุคคลตั้งเป้าโตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 20,000 ล้านบาท
ขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกราว 8,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่อยู่ราว 90,000ล้านบาท โดยเบื้องต้นบริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นศูนย์การค้า มูลค่าประมาณ 2,000-3,000ล้านบาท คาดว่าจะออกเสนอขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงไตรมาสที่ 1และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นอาคารสำนักงาน มูลค่าราว 1,000ล้านบาท คาดว่าจะออกได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นต้น
นอกจากนี้ในปีก่อนบริษัทมีสินทรัพย์สุทธิฯกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ราว 60,000 ล้านบาท แต่ในปีนี้บริษัทจะหันไปเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันค่อนข้างสูงแล้วเกือบ 80% ของเอยูเอ็มรวมทั้งหมด
“ปีนี้เราตั้งเป้าโตมากกว่าอุตสาหกรรมประมาณ 16% จากทั้งอุตสหกรรมกองทุนรวมที่จะโตประมาณ 8-10% โดยต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานสินทรัพย์เราเล็ก จึงทำให้คิดเป็นสัดส่วนการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับบลจ.ที่มีฐานการบริหารเงินขนาดใหญ่ อีกทั้งบริษัทมีแผนขยายเพิ่มกองทุนต่อเนื่องในปีนี้ด้วย จึงทำให้โตได้”นายสมชัยกล่าว
ในส่วนของกองทุนพันธบัตรเกาหลีของบริษัท ที่มีมูลค่าราว 20,000 ล้านบาทนั้น ในปีนี้จะครบอายุกองทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท และปี 2555 จะครบอายุกองทุนอีกประมาณ 10,000ล้านบาท บริษัทก็จะพยายามออกกองทุนตราสารหนี้ประเภทอื่นมารองรับซึ่งแน่นอนว่าต้องให้ผลตอบแทนที่ดีและคล้ายคลึงกับกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้อย่างเช่น กองทุนพันธบัตรรัสเซียมารองรับ
นายสมชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCPF)ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนการซื้อขายไปเมื่อวานที่ผ่านมา (13มค) นับได้ว่าเป็นสินค้าใหม่รายแรกที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีพ.ศ. 2554 ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีในการกระจายทางเลือกใหม่ในการลงทุนให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะในเรื่องของผลการตอบแทนจากการลงทุนนั้น บมจ.ดุสิตธานี ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน ยังรับประกันรายได้ค่าเช่าขั้นต่ำรายปีของโรงแรมทั้ง 3 แห่ง สำหรับระยะเวลา 4 ปีแรกที่ไม่น้อยกว่า 381 ล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับขนาดกองทุน 4,094 ล้านบาท โดย DTC จะวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในวงเงินค้ำประกันจำนวน 125 ล้านบาทต่อปี เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่นักลงทุนว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราที่น่าพอใจ จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ บลจ.กรุงไทยมั่นใจว่าDTCPF จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี มีมูลค่ากองทุนประมาณ 4,094 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนด้วยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Freehold) ใน ที่ดิน อาคาร และงานระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมและเฟอร์นิเจอร์ ทรัพย์สินติดตรึงตราและอุปกรณ์ต่างๆ ของโรงแรม ดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต และโรงแรม ดุสิตดีทู เชียงใหม่ รวมทั้งลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) เป็นระยะเวลา 30 ปี ในที่ดิน อาคาร และงานระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเฟอร์นิเจอร์ ทรัพย์สินติดตรึงตรา และอุปกรณ์ต่างๆ ของโรงแรม ดุสิตธานี หัวหิน โดยสัดส่วนการลงทุนในกองทุนนี้เป็น Freehold กว่าร้อยละ 75
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาเปิดขายของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีนั้นสูงกว่าราคาหน่วยลงทุนที่ตราไว้ 10 ประมาณ 3% หรืออยู่ที่ 10.30 บาท ก่อนจะปิดตลาดที่ราคา 10.20 บาท