xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจปีกระต่ายยังไม่หวือหวา แนะสะสมทองคำ-บอนด์ระยะสั้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พัชร สะมะลาภา
บลจ.กสิกรไทยแนะปี กระต่าย ถือทองคำ 10-15% พอร์ต ส่วนตราสารหนี้เน้นลงระยะสั้นตามอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ระบุหุ้นไทยปีนี้อาจเห็น 1,200 จุด ขณะที่ราคาทองคำอาจอยู่ที่ 1,550 ดอลลาร์หสรัฐต่อออนซ์ ส่วนน้ำมันอาจพีคถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ ขณะที่ กูรูบลจ.กรุงไทยชี้ เศรษฐกิจปีนี้ไม่ต่างจากปีเสือ นัลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่เน้นเสี่ยงเยอะ ทองคำยังได้รับความนิยมอยู่

นายพัชร สะมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในปี 2554 นี้นักลงทุนอาจจะต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากเรามองว่าตลาดหุ้นยังมีความผันผวน ในขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นโดยเราคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายน่าจะ ขยับขึ้นไปอีก 0.75% ในช่วงต้นปีนี้ ทำให้นักลงทุนอาจจะต้องลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ไม่ล๊อกเงินยาวจนเกินไป

ขณะ ที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเรามองว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิของหุ้นไทย (P/E) อยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ซึ่งในปีนี้มีอัตราการเติบโตอยู่ที่15-20% เรามอว่าเป้าดัชนีฯจะอยู่ที่ระดับ1,200 จุด ทั้งนี้ในช่วงเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ตลาดหุ้นจะมีความผันผวน

"การลงทุนในปีนี้นักลงทุนจะต้อง จัดสรรพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุน ซึ่งกองทุนประเภทบาลานซ์ ฟันด์ น่าจะเหมาะสมเนื่องจากกองทุนดังกล่าวจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับ สถานการณ์ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อยู่ตลอดเวลา"นายพัชรกล่าว

อย่างไรก็ตามการสะสมทองคำในพอร์ตการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สำคัญด้วยเช่นกัน เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งเราคาดกาณ์ว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีความกังวลกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเรามองว่านักลงทุนควรมีทองคำสะสมในพอร์ตการลงทุนประมาณ 10-15%

นายพัชร กล่าวต่อว่า ภาพรวมอุตสหกรรมกองทุนรวมในปีนี้อาจจะคล้ายกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเม็ดเงินใหม่ที่จะไหลเข้ามาอาจจะไม่มากนักเนื่องจากดอกเบี้ยยังอยู่ใน ช่วงขาขึ้นประกอบกับธนาคารเร่งระดมเงินฝาก ขณะเดียวกันในปีนี้จะมีกองทุน พันธบัตรเกาหลีใต้ทยอยครบอายุทั้งอุตหสกรรมอีกประมาณ 180,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกองทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับกองทุนพันธบัตรรัฐบาลใน ประเทศ

โดย ในส่วนของบลจ.กสิกรไทยเอง กองทุนที่จะมารองรับเม็ดเงินที่ทยอยครบอายุจากเกาหลีนั้นน่าจะเป็นกองทุน พันธบัตรรัฐบาลไทยที่ผสมกับการนำเงินบางส่วนไปฝากไว้ที่ธนาคารของรัฐในสหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE เพื่อให้ผลตอบแทนออกมาน่าสนใจ

ด้าน นายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการกองทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การลงทุนในปีหน้าโดยเฉพาะหุ้นคงจะคาดหวังกับผลตอบแทนสูงๆ เหมือนในปีนี้ไม่ได้ แต่อัตราผลตอบแทนคงจะยังดีอยู่ ส่วนการลงทุนในต่างประเทศคงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ หลังจากที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศมันปรับตัวลดลง ที่ผ่านมาบริษัทจึงต้องหาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นในรูปแบบต่างๆ โดยหลังจากนี้อาจจะมีการนำรูปแบบของการลิ้งค์อัตราผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ มาใช้มากขึ้น หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับจนสามารถนำไปซื้อออปชันอื่นเพิ่มได้

ขณะที่ราคาทองคำมองว่าจะอยู่ในกรอบประมาณ 1500-1550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจะต้องอาสัยการเล่นรอบในถูกช่วงเวลา ส่วนราคน้ำมันความต้องการบริโภคน้ำมันจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มฟื้นตัว และจีนเองถึงแม้การส่งออกจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่การที่จีนต้องการเน้นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศจะทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันเพิ่มมาขึ้น ซึ่งกรอบราคาน้ำมันปีหน้าน่าจะอยู่ที่ 85-95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอาจสูงสุดได้ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ทาง ด้านนายวิโรจน์ ตั้งเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 1 บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2554 ไม่ค่อยแตกต่างกับ 2553 มากนักซึ่งการฟื้นตัวของกลุ่มประเทศในยุโรปและสหรัฐฯนั้นจะค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังโฟกัสไปที่สินทรัพย์ปลอดภัยและมีความเสี่ยงไม่ สูงมากนั้น โดยทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอยู่เนื่องจากเป็น สินทรัพย์ที่ปลอดภัย

" เรามองว่าสินทรัพย์เสี่ยงในปีนี้จะยังมีความผันผวนอยู่เช่นกัน การที่เก็บสะสมทองคำจะเป็นการช่วยลดความจากพอร์ตการลงทุนได้อีกด้วย" นายวิโรจน์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น