ฝ่ายบวิจัยลจ.กรุงไทย ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากปัจจัยหนุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการขยายตัวผลการดำเนินงานของบจ. เตือนระวังแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนปลายเดือนมกราคมนี้
รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในเดือนแรกของปี 2554 เราคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีแนวโน้มที่ดีในช่วงต้น อย่างไรก็ตามให้ระวังแรงขายทำกำไรในช่วงปลายของเดือนมกราคม โดยมีปัจจัยหนุนได้แก่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังโตต่อเนื่องที่ระดับ 4.5% การขายตัวของผลการดำเนินงานของบจ. ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงจากการใช้นโยบายที่ผ่อนคลายของสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าจะยังไหลเข้ามาลงทุนเป็นบวกต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ส่วนการเมืองมองว่าไม่น่าส่งผลลบมากเท่าปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในปีนี้จะมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นน่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่มียังคงเป็น ความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่จะลุกลามเพิ่มขึ้น ความกังวลต่อเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ที่ทำให้จีนต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดเพิ่มขึ้นและปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตาม ได้แก่ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ในเดือนมกราคม ฝ่ายวิจัยคาดว่าเส้นอันตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลงในช่วงสั้นๆเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.ในวันที่ 12 มกราคม นี้คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง คงจะเป็นการติดตามผลกระทบของการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่แล้วและเฝ้าดูทิศทางของเงินเฟ้อในเดือนที่ผ่านมามากกว่า
นอกจากนี้ทิศทางของ Supply ใหม่มีแนวโน้มที่ลดลงจากคาดการณ์ของ สบน.ที่ปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรลงเป็นไปตามที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าทั้งปีงบประมาณ 54 นี้จะสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยสบน.คาดว่าจะอยู่ที่ 320,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีแผนจะกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้วงเงิน 420,000 ล้านบาท สำหรับมูลค่าการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในเดือนมกราคมนี้อยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%MoM
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2554 นี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากไทยยังคงจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง การส่งออกยังคงขยายตัวในรูปแบบ USD แม้ว่าจะช้าลงกว่าในปีก่อน อย่างไรก็ตามการเติบโตของ GDP ในปี 2554 ที่คาดว่าอยู่ที่ 4-5% ลดลงอย่างมากจากปีก่อน และลดลงต่ำกว่าการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ความน่าสนใจลงทุนในตลาดไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจมีน้อยลง ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นในอัตราที่ชะลดลง โดยคาดว่า USD/THB ณสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ระดับ 28.0-29.0 โดยในระยะสั้นอาจเห็น USD/THB ปรับตัวลดลงได้รวดเร็วจากเงินทุนไหลเข้าในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นผลของ Momentum จากช่วงปลายปีก่อน
ส่วนราคาทองคำในเดือนมกราคม 2554 ยังคงมองเห็นทิศทางการปรับขึ้นของราคาทองอยู่ สาเหตุหลักคือ 1.การที่เฟดคาดเศรษฐกินสหรัฐฯยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่อยู่โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ 2.เศรษฐกิจยุโรปโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะอาจยังคงมีอยู่และ 3.ปัญหาการออกมาตรการต่างๆในประเทศจีนเพื่อสะกัดกั้นการเกิดปัญหาเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตามตามปัจจัยดังกล่าวคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับการประกาศออกมาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ที่อาจทำให้ราคาทองคำผันผวนได้ สำหรับการลงทุน SPDR Gold Trust กองทุน ETF ทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลกกลับมาถือครองทองคำเพิ่มขึ้นณ 31 ธันวาคม 1,280.72 ตันลดลง 5.88 ตันคิดเป็น 0.46%MoM เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5.80 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 41.18 ล้านออนซ์