xs
xsm
sm
md
lg

แนะล็อคเงินสั้นไม่เกิน6เดือน หนีความผันผวนดอกเบี้ยขาขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจแอสเซทพลัส แนะนักลงทุนล็อคเงินระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน หนีความผันผวนแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ชูพันธบัตรในประเทศและโปรตุเกส เป็นทางเลือกรับเงินลงทุนจากกองเกาหลี

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ตามทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในแง่ของการลงทุนนั้น ยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนในด้านความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ควรลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน มากกว่าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการบันทึกราคาตราสารตามราคาตลาดในช่วงดอกเบี้ยขา ขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไปตามอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายที่อาจมีการปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศนั้น ในปีนี้คาดว่าน่าจะมีกระแสเงินสดจากกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ครบอายุ อยู่จำนวนหนึ่งที่จะไม่ลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์อื่น จากผลตอบแทนการลงทุนที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับความกังวลด้านความขัดแย้งของคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนส่วนหนึ่งหันกลับมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนไทยมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนก็ปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ และแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดีในปีนี้เช่นกัน ขณะที่ ผู้ลงทุนบางส่วนยังคงมีความต้องการลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศที่เสนอผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่ไม่สูงนัก เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศโปรตุเกส

ทั้งนี้ ประเทศโปรตุเกสเอง แม้จะมีกระแสข่าวเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรป แต่หากมองในด้านปัจจัยพื้นฐานของสภาวะเศรษฐกิจ ประเทศโปรตุเกสยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2553 ยังคงเติบโตที่ระดับ 1.4% เมื่อเทียบกับปี 2552 ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น สถานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นที่ระดับ 29.08% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป ภาระหนี้ที่ไม่ได้มีมากนัก โดยปริมาณตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2554 มีเพียง 27 พันล้านยูโร ซึ่งในปี 2553 ที่ผ่านมารัฐบาลโปรตุเกสสามารถระดมเงินทุนผ่านการออกพันธบัตรได้เพียงพอต่อ การชำระหนี้ดังกล่าวได้ รวมถึงการได้รับการสนับสนุนวงเงินฉุกเฉินมูลค่า 70,000 ล้านยูโร จากสหภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จากระดับความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ในระดับต่ำดังกล่าว ทำให้โปรตุเกสยังคง ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Fitch Rating ที่ระดับ A+ และเป็นที่สนใจของผู้ลงทุน ที่ต้องการลงทุนในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศไทย

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงต้นเดือนมกราคมนี้ ทางบริษัทฯ มีกองทุนที่จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ (Rollover) จำนวน 4 กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งกองทุนพันธบัตรรัฐบาลไทย กองทุนตราสารหนี้เอกชนไทย และกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 1 (ASP-ACFIXED1) ซึ่งลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชนไทยชั้นนำ อายุประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.00% ต่อปี กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 6 (ACFIF6) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกส 100% อายุประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.00% ต่อปี

กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 2 (ACFIF2) กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกส 100% อายุประมาณ 2 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.50% ต่อปี และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 3 (ASP-SIF3) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุประมาณ 2 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 1.65% ต่อปี
กำลังโหลดความคิดเห็น