ASTVผู้จัดการรายวัน - Thai BMA เผยไตรมาสแรกมูลค่าซื้อขายบอนด์ไทยสูงถึง 5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน เฉลี่ยต่อวันละ 80,700 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนบอนด์ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงหลังดอกเบี้ยปรับขึ้น
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ Thai BMA เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ของไทยมีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านล้านบาท โดยเฉลี่ยวันละ 80,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้กว่า 30% ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนจะเข้ามาซื้อขายตราสารหนี้ระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพราะจะเป็นการลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนของมูลค่าการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนในไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่มากนักมีเพียงแค่ 30,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น แต่คาดว่าหลังจากไตรมาส 2 เป็นต้นไป จะมีบริษัทเอกชนที่เป็นขนาดใหญ่เริ่มที่จะทยอยออกหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางจะปรับเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นจึงคาดว่าตลอดทั้งปีจะมีมูลค่าการออกหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ประมาณ 280,000 - 300,000 ล้านบาท
“ช่วงปีที่ผ่านมาแม้ว่าตลาดตราสารหนี้ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทเอกชนจะมีการเติบโตมากอย่างต่อเนื่อง แล่ะตลอดทั้งปีนี้สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเองยังคงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาให้ตลาดรองมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการปรับปรุงกฎระเบียบ รวมถึงภาษี กระทั้งการลดอุปสรรคด้านการลงทุน และการให้มีข้อมูลที่เพียงพอต่อนักลงทุนเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุนให้เข้ามาซื้อขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” นายนิวัฒน์ กล่าว
ด้านนางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ Thai BMA กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 2 ยังคงมีนักลงทุนต่างชาติได้ทยอยเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ในไทยอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะบ้านเรามีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจต่อความต้องการลงทุน และมีจำนวนผลิตภัณฑ์ที่พอต่อความต้องการของลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้มีการเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยคิดเป็น 4.2% แต่ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยกว่า 6.2%
ทั้งนี้ ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสที่ดีต่อนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในบ้านเรา แต่เมื่อเทียบดูกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติยังน้อยกว่า เพราะมีเพียงแค่ 10% เท่านั้นต่อการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ของไทยมีขนาดค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศอินโดนีเชีย หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจมีความน่าสนใจกว่าเพราะประเทศเหล่านั้นมีความเจริญมากในด้านเศรษฐกิจ มีพัฒนาการเติบโตโดดเด่น อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าของประเทศไทย และขนาดตลาดที่ใหญ่ จึงดึงดูดเม็ดเงินได้ดีกว่า
“สาเหตุที่เงินลงทุนไหลเข้ามาในตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติมองว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีอยู่รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางขาขึ้น ซึ่งประมาณ 80% ของนักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ระยะสั้งอายุต่ำกว่า 1 ปี และตั้งแต่ต้นปีมีเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ามากกว่า 90% มาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งถือดเป็นเรื่องปกติเพราะดอกเบี้ยในประเทศกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น” นางสาวอริยา กล่าว
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ Thai BMA เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ของไทยมีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านล้านบาท โดยเฉลี่ยวันละ 80,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้กว่า 30% ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนจะเข้ามาซื้อขายตราสารหนี้ระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพราะจะเป็นการลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนของมูลค่าการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนในไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่มากนักมีเพียงแค่ 30,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น แต่คาดว่าหลังจากไตรมาส 2 เป็นต้นไป จะมีบริษัทเอกชนที่เป็นขนาดใหญ่เริ่มที่จะทยอยออกหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางจะปรับเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นจึงคาดว่าตลอดทั้งปีจะมีมูลค่าการออกหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ประมาณ 280,000 - 300,000 ล้านบาท
“ช่วงปีที่ผ่านมาแม้ว่าตลาดตราสารหนี้ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทเอกชนจะมีการเติบโตมากอย่างต่อเนื่อง แล่ะตลอดทั้งปีนี้สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเองยังคงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาให้ตลาดรองมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการปรับปรุงกฎระเบียบ รวมถึงภาษี กระทั้งการลดอุปสรรคด้านการลงทุน และการให้มีข้อมูลที่เพียงพอต่อนักลงทุนเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุนให้เข้ามาซื้อขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” นายนิวัฒน์ กล่าว
ด้านนางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ Thai BMA กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 2 ยังคงมีนักลงทุนต่างชาติได้ทยอยเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ในไทยอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะบ้านเรามีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจต่อความต้องการลงทุน และมีจำนวนผลิตภัณฑ์ที่พอต่อความต้องการของลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้มีการเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยคิดเป็น 4.2% แต่ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยกว่า 6.2%
ทั้งนี้ ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสที่ดีต่อนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในบ้านเรา แต่เมื่อเทียบดูกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติยังน้อยกว่า เพราะมีเพียงแค่ 10% เท่านั้นต่อการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ของไทยมีขนาดค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศอินโดนีเชีย หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจมีความน่าสนใจกว่าเพราะประเทศเหล่านั้นมีความเจริญมากในด้านเศรษฐกิจ มีพัฒนาการเติบโตโดดเด่น อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าของประเทศไทย และขนาดตลาดที่ใหญ่ จึงดึงดูดเม็ดเงินได้ดีกว่า
“สาเหตุที่เงินลงทุนไหลเข้ามาในตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติมองว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีอยู่รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางขาขึ้น ซึ่งประมาณ 80% ของนักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ระยะสั้งอายุต่ำกว่า 1 ปี และตั้งแต่ต้นปีมีเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ามากกว่า 90% มาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งถือดเป็นเรื่องปกติเพราะดอกเบี้ยในประเทศกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น” นางสาวอริยา กล่าว
