ASTVผู้จัดการรายวัน - Thai BMA ชี้ปัญหาทั้งในและนอกประเทศส่งผลกระทบบอนด์ไทยช่วงไตรมาสแรก แต่ต่างชาติยังเข้าลงทุนบอนด์อายุมากกว่า 1 ปีอีกเพียบ
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้แห่งประเทศไทย หรือ Thai BMA เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกอย่างปัญหาทางการเมืองในลิเบียและสึนามิที่ญี่ปุ่นเอง ที่มีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้บ้านเราในช่วงดังกล่าวบ้าง แต่น่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนบางกลุ่มหันมาเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่ขึ้นทะเบียนใน ThaiBMA ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีจำนวนรวม 1,656 รุ่น โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 6,783,039.39 ล้านบาท โดยมีตราสารหนี้ที่ออกใหม่และขึ้นทะเบียนที่ ThaiBMA รวมทั้งสิ้น 898,882.65 ล้านบาท
นายนิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ถ้าเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลวัดจากดัชนีผลตอบแทนสุทธิของพันธบัตรรัฐบาล มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นคิดเป็น 0.73% ด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ดัชนีหุ้นกู้เอกชนปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยคิดเป็นผลตอบแทนที่ 0.5%
ทั้งนี้หุ้นกู้ภาคเอกชนมีการซื้อขายรองลงมา ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9,691.28 ล้านบาท ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นมูลค่า 5,571.24 ล้านบาท ตั๋วเงินคลังมีมูลค่าซื้อขายลดลงค่อนข้างมากมาอยู่ที่ 783.15 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.06% ซึ่งสาเหตุของมูลค่าการซื้อขายลดลงต่อเนื่องของตั๋วเงินคลังในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา น่าจะมาจากสินค้าในตลาดที่จำกัด หลังจากกระทรวงการคลังไม่มีการประมูลตั๋วเงินคลังติดต่อกันมาถึงสามเดือนคือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม ที่ผ่านมา ส่วนพันธบัตรต่างประเทศ และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 614.78 ล้านบาทและ 604.02 ล้านบาท
“ความต้องการลงทุนยังมีอยู่ระดับสูง เนื่องจากสภาพคล่องในประเทศยังเหลือจำนวนมาก ส่วนหนึ่งจะมีเงินไหลกลับเข้ามาจากกองทุนลงทุนพันธบัตรเกาหลีที่ครบอายุจำนวนหลายแสนล้านบาท รวมถึงเงินไหลเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้มีปริมาณเงินในระบบมากเพียงพอที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องตึงตัว แม้ภาครัฐและภาคเอกชนจะออกมาระดมทุนพร้อมกัน”
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้แห่งประเทศไทย หรือ Thai BMA เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกอย่างปัญหาทางการเมืองในลิเบียและสึนามิที่ญี่ปุ่นเอง ที่มีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้บ้านเราในช่วงดังกล่าวบ้าง แต่น่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนบางกลุ่มหันมาเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่ขึ้นทะเบียนใน ThaiBMA ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีจำนวนรวม 1,656 รุ่น โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 6,783,039.39 ล้านบาท โดยมีตราสารหนี้ที่ออกใหม่และขึ้นทะเบียนที่ ThaiBMA รวมทั้งสิ้น 898,882.65 ล้านบาท
นายนิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ถ้าเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลวัดจากดัชนีผลตอบแทนสุทธิของพันธบัตรรัฐบาล มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นคิดเป็น 0.73% ด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ดัชนีหุ้นกู้เอกชนปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยคิดเป็นผลตอบแทนที่ 0.5%
ทั้งนี้หุ้นกู้ภาคเอกชนมีการซื้อขายรองลงมา ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9,691.28 ล้านบาท ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นมูลค่า 5,571.24 ล้านบาท ตั๋วเงินคลังมีมูลค่าซื้อขายลดลงค่อนข้างมากมาอยู่ที่ 783.15 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.06% ซึ่งสาเหตุของมูลค่าการซื้อขายลดลงต่อเนื่องของตั๋วเงินคลังในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา น่าจะมาจากสินค้าในตลาดที่จำกัด หลังจากกระทรวงการคลังไม่มีการประมูลตั๋วเงินคลังติดต่อกันมาถึงสามเดือนคือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม ที่ผ่านมา ส่วนพันธบัตรต่างประเทศ และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 614.78 ล้านบาทและ 604.02 ล้านบาท
“ความต้องการลงทุนยังมีอยู่ระดับสูง เนื่องจากสภาพคล่องในประเทศยังเหลือจำนวนมาก ส่วนหนึ่งจะมีเงินไหลกลับเข้ามาจากกองทุนลงทุนพันธบัตรเกาหลีที่ครบอายุจำนวนหลายแสนล้านบาท รวมถึงเงินไหลเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้มีปริมาณเงินในระบบมากเพียงพอที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องตึงตัว แม้ภาครัฐและภาคเอกชนจะออกมาระดมทุนพร้อมกัน”